Skip to main content

"แม่เจ้า...ลูกผ่อบ่หันแม่น้ำปิง"


"คุณแม่ขา แม่น้ำปิงอยู่ไหน?"


"มองไม่เห็นหรอกลูก หนูแค่ 8 ขวบเอง รอให้ลูกโตกว่านี้ ลูกถึงจะเห็นนะ"


 


"นางสาวพิริยาภรณ์ อิทธิพันธุ์กลุ" นักเรียนชั้น ม.5/4 โรงเรียนพระหฤทัย เชียงใหม่ ซึ่งเป็นลูกหลานของเจียงใหม่บ้านเฮา ได้วาดภาพการ์ตูนและเขียนแต่งบทสนทนาระหว่าง แม่กับลูก ดังที่ได้ยกมาข้างต้น ลงในแผ่นกระดาษที่แสดงเหตุผลว่า "ทำไมไม่ควรสร้างพนังคอนกรีตกั้นแม่น้ำปิง?"


 


...แผ่นกระดาษและเหตุผลอันทรงคุณค่าของเยาวชนชาวเชียงใหม่นี้ ได้เผยแพร่กระจายสู่จิตวิญญาณหัวใจของสาธารณชนแล้ว!


 


1. รอยอดีต


 


ฉัน กำเนิดมา ณ ที่นี้ ล้านนา เจียงใหม่ ได้เป็นผู้เป็นคนอยู่ที่นี่มานานร่วมหกศตวรรษกว่าแล้ว...ในวัยเด็ก ฉัน กับเพื่อนๆ ชอบเล่นสงกรานต์ และมักชวนกันไปว่ายน้ำเล่นน้ำปิงอย่างสนุกสนานหลายต่อหลายครั้ง...ฉันยังจำได้ไม่ลืมเลือน...


 


"เฮ้ย..ไอ่หมู่หล่ายหน้า คิงแน่แต๊ มาตี๋กั๋นบ่ะ"


"เฮ้ย...คิงก่ไอ้หมู่หล่ายหน้า เอาก่เอาบ่ะ"


 


เสียงตะโกนท้าทายจากพวกหมู่ "หล่ายหน้า" ดังข้ามน้ำปิงมาท้าตีท้าต่อยพวกเราที่กำลังเล่นน้ำฝั่งตรงข้ามกับพวกเขา...เราเองก็รีบตะโกนตอบรับคำท้าทันที


 


คำว่า "หล่ายหน้า" ก็คือคำเรียกของผู้คนที่อยู่ตรงกันข้ามระหว่างสองฟากฝั่งแม่น้ำปิง แต่ละฝั่งก็เรียกคนที่อยู่ตรงกันข้ามกันว่า "หมู่คนหล่ายหน้า" เหมือนกัน พวกวัยรุ่นที่ตะโกนท้าทายเขาอยู่ฝั่งปิงทิศตะวันออก คงมีบ้านเรือนใกล้น้ำปิง เขาจึงถือว่า เป็น "เจ้าถิ่น" ส่วนพวกเราอยู่ออกมาห่างไกลหน่อย อยู่บริเวณหลังวัดจ๊อกป๊อก (วัดพวกช้าง) ใกล้คูเมืองแจ่งขะต๊ำ พวก "หล่ายหน้า" คงหมั่นไส้พวกเราที่เล่นน้ำ ส่งเสียงดัง ร้องตะโกนโหวกเหวก หัวเราะ สนุกสนานกันเต็มที่ ฯลฯ


 


สิ้นเสียงคำท้าทายแล้ว... "บ่าลุกกุย ก่อปั๊ดควายใส่ บ่าแก่นกางกั๋น" อุตลุต หมั่นรุ่น-รุ่น ของวัยสะรุ่นก็ปลิวใส่หน้า ใส่คางกัน พร้อมเพลงเตะ..เป็นวัยคึกคะนอง อวดเบ่งใส่กัน (สมัยนั้นประมาณปี พ.ศ.2500 ท่านผู้อ่านลองคิดคำนวณดูตัวเลขวัยหนุ่มของผู้เขียนเอาเถิดว่า มา ณ พอ.ศอ.ปรัตยุบันนี้ จักมี วัยดรุณสุนทรีชีวิต กี่พรรษาแล้ว...ตอนปีกึ่งพุทธกาลนั้น หมู่เฮาเป็นจิ๊กโก๋วัยรุ่นตอนต้นเน้อ...แหะ..แหะๆๆ)


 


สมัยก่อน ถึงจะชกต่อยกันก็มี กฎกติกาของ "ลูกผู้ชาย" ที่ยังไม่สมบูรณ์...มีการตั้งกรรมการห้ามมวยของแต่ละคู่...ล้มแล้วห้ามกระทืบซ้ำ ใครแพ้แล้วก็คือแพ้เลย ยอมรับกัน...ใส่ "บ่าลูกกุย" (หมัด) กันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จับมือเลิกรากันไป


 


ทว่า..ฮุ้ย มาสมัยนี้ เจ้าเหย นายเหย...พ่อแม่เจ้าประคุณทูนหัวเอ๋ย...เขามาคนเดียว หรือ เพียงคนสองคน...หุยยยย์ อีกฝ่ายมากันเป็นฝูงๆ ... รุมกันเป็นฝูงหมาหมู่พากันรุมยำตีนเขา เฮ้อ ผ่อแล้ว เป๋นดีกั๊ดอก...


 


"ลูกผู้ชายสูญพันธุ์" ไปนานแล้ว (คำพูดจากงานวรรณกรรมของ "อ้ายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล")


 


...เราเล่นน้ำกัน ณ ฝั่งปิง บางครั้งก็เกิดเขม่นกันตามประสาวัยรุ่น ชกต่อยกันโดยไม่มีเหตุผลอะไร...ฟาดปาก-เตะต่อย ชกมวยกันบนหาดทรายเนียนนุ่มนั่นแหละ (สมัยก่อนธรรมชาติงดงามมาก...เดี๋ยวนี้?...) โดยมีฉากเป็นเกาะกลางน้ำปิงที่มีพืชผักของชาวบ้านปลูกเอาไว้ ดูเขียวชอุ่ม งดงาม น่ากินนักง...ไกลออกไป ก็เห็นชาวบ้านกำลังหา กุ้ง หอย ปู ปลา กัน ฯลฯ


 


2. แอ่วสงกรานต์ : ขนทรายเข้าวัด


 


"เอ้า ลูกๆ ไปแอ่ว ไปขนทรายเข้าวัดกั๋นเน้อ แม่จะพาไป"


 


ได้ยินแม่พูด พวกเราอายุเจ็ด-แปดขวบ พากันไชโยโห่ฮิ้ว เต้นแร้งเต้นกากัน ดีใจที่แม่ชวนฉันกับพี่ๆ น้องๆ ไปงานปี๋ใหม่เมือง ในวันเนาว์ 14 เมษายนของทุกปี ฉันจำได้ หมู่เฮาลงน้ำปิงบริเวณใกล้ๆ ขั๋วเหล็ก(สะพานนวรัฐ) ทั้งแม่ลูกค่อยๆ ก้มโน้มตัวลงคารวะแม่ปิง เอามือวักดำน้ำสัมผัสปิงแม่อันเย็นฉ่ำ...สองมือกอบทรายใต้น้ำอันนวลนุ่ม กอบโกยเอาทรายขึ้นมาใส่ในสลุงเงิน(ขันเงิน)


 


...ที่นี่ ผู้คนมากันดั่งมืดฟ้ามัวดิน พากันมาขนทรายเข้าวัด มากันทั้งลูก หลาน เหลน โหลน หลีด หลี้ ฯลฯ ทั้งป้ออุ้ย แม่หม่อน คนหนุ่มสาว ลูกเล็กเด็กแดง ฯลฯ


 


แม่น้ำปิงยามหน้าร้อน ช่วงสงกรานต์ น้ำบริเวณนั้นไม่ลึก เดินข้ามไปมาหาสู่กันได้...


 


พอพวกเรา คารวะแม่น้ำเสร็จ แม่พาเราไป พุทธสถาน พี่น้องชาวเชียงใหม่ได้แห่แหนอัญเชิญพระพุทธรูป..พระพุทธสิหิงค์ มาสถิต ณ ที่นี่ชั่วคราวระหว่างสงกรานต์ เพื่อให้ชาวเรา-ชาวนักท่องเที่ยว ฯลฯ สรงน้ำส้มป่อยบูชาพระพุทธสิหิงค์อันเหลืองอร่ามงามสง่าน่าเลื่อมใส


 


ผู้คนแบ่งทรายน้ำปิงส่วนหนึ่งมาก่อเจดีย์ทราย ปักตุง บูชาอธิษฐาน ฯลฯ ทรายส่วนหนึ่งเอาไปไว้ที่วัดใกล้เคียง และแบ่งเก็บไว้ไปขนทรายเข้าวัดที่เราเป็นเจ้าศรัทธาในวันพญาวันรุ่งเช้า 15 เมษายนฯ


 


เดี๋ยวนี้...น้ำลึก ขนทรายลำบาก ก็เพราะการขุดลอกโดยไม่คำนึงถึงชีวภาพ – ภูมิสังคม การขุดทรายไปขายอีก ก็เป็นสาเหตุหนึ่งให้น้ำปิงเสียสมดุล...สมัยก่อนน้ำก็ท่วมมาตลอด ท่วมมากด้วย ดุตัวอย่างรูปธรรม...เวียงกุมกาม นั่นปะไร...ต่อมาน้ำท่วมไม่มากขนาดนั้น แต่ชาวบ้านปลูกบ้านสร้างเสาสูง น้ำท่วมไม่ถึง...หรือนาข้าวสมัยก่อน เขาปลูกข้าวพันธุ์พื้นบ้าน มิใช่พันธุ์แปลกปลอมจากต่างประเทศที่เอาเข้ามาเพื่อให้ชาวนาเป็นหนี้เป็นสิน ฯลฯ พอน้ำท่วมนา ข้าวพันธุ์รากเหล้าพื้นบ้านเรา ต้นพระแม่โพสพก็เจริญงอกงาม ยืดลำต้นให้สูงเหนือน้ำหลากอย่างอยู่รอดปลอดภัย


 


...ฤดูฝนน้ำย่อมไหลท่วมพื้นราบเป็นธรรมดา-ธรรมชาติ น้ำท่วมนา น้ำท่วมนองแต่ก็ไหลลงเร็ว เพราะไม่ติดขัดอะไร "แถมยังไม่พอ" พี่น้องชาวบ้านเราก็สนุก เริงร่า หาปู หาปลา เอามาขายมากินกันเอร็ดอร่อยเสียอีก...การขุดเจาะถมถนน สร้างถนน ถมแผ่นดินชุ่มน้ำ(Wet Land) การโหมสร้างธุรกิจบ้านจัดสรร ฯลฯ ก็ต้องทำให้น้ำท่วมมาก ท่วมนานเป็นธรรมดา เกิดจาก กรรม การกระทำของมนุษย์ผู้อวดฉลาดนั่นเอง...


 


แม่น้ำปิงในยามปกติ แม่ก็ไหลหล่อเลี้ยงแผ่นดินสองฟากฝั่งนิรันดร์มา ชาวบ้านก็สร้างฝายทำเกษตรกรรมมานมนาน ไม่ว่าจะเป็นฝายพญาคำ ฝายท่าวังตาล ฝายหนองผึ้ง ฯลฯ แต่นี้เมื่อปีที่ผ่านมา พ่อเจ้าประคูณ...อ้ายทักษิณฯ มาตรวจแม่น้ำปิงพอมาเห็นฝายทั่นก็ทำเป็นอวดฉลาดจะให้ทุบฝายชาวบ้านทิ้ง หาว่าขวางทางไหลเร็วของน้ำ อพิโธ่เอ๋ย ท่านผู้นำบ้านเรา ทั้งๆ ที่ฝายนั้นอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำท่วม ก็เลยถูกพี่น้องชาวบ้านเจ้าของฝายหน้าหมู่ ต่อต้านคัดค้าน...


 


(อันคำว่า "อวิชชา" หรือ "ความไม่รู้" นี้สำคัญนักนะเจ้า ก่อให้เกิดความ "ขึด" ความหายนะได้ เมื่อไปอยู่กับคนอวดรู้ ฯลฯ)


 


 


3.ข่าวร้ายจากอสูร


 


แ ม่ น้ำ ปิ ง ต้นธารกำเนิดของแม่น้ำวัง ยม น่าน เจ้าพระยา ไหลไปโอบกอดทะเลอ่าวไทย หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติชีวิต... "คนขึด" เท่านั้น ที่แบ่งแยก ขุด ลอก ถม กั้นเทพนังคอนกรีต ทำลายแม่ผู้มีพระคุณของตัวเอง


 


...ป้อแม่ปี้น้อเจ้า ยักษ์มารมันจะมาทำร้าย ทำลายแม่น้ำปิงของหมู่เฮา มารยักษ์เข้ามาในนามของ "เทคโนโลยี ความเจริญ การพัฒนา โลกาภิวัตน์" ในสังคมอภิมหาบริโภคทุนนิยม-โลกาวินาศสุดโต่งนี้ ยักษ์เย็นอวิชชาอ้างว่าจะช่วยป้องกันมิให้น้ำท่วมย่านตัวเมืองที่เป็นย่านศูนย์การค้าสำคัญ เช่น ไนท์บาร์ซา ฯลฯ โดยการจะทำขึดครั้งยิ่งใหญ่ คือ จะสร้างพนังกำแพงคอนกรีตกั้นสองฝั่งปิง ทำลายธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ ทิวทัศน์ ความงดงามของแม่น้ำปิงเฮา


 


"หมู่สูเป๋นไผ จะใดมากึ๊ดเยี๊ยะขึดจะอี้?" เป็นคำถามของหมู่เฮาที่มีต่อกลไกอำนาจรัฐสมมุติทั้งระดับชาติและท้องถิ่น


 


...ป้อแม่ปี้น้อง,คับ วาทกรรมคำว่า "ความเจริญ การพัฒนา" นี้ ต้องคิดกันให้ดีๆ


ด้านหนึ่ง คือ ความหายนะ ทำลายรากเหง้าวิถีชีวิต จิตวิญญาณของชุมชน,ประเทศชาติ และของโลกโดยองค์รวมหรือไม่ เอาตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ เช่นที่...หนองบัว อ.ดอยสะเก็ด , หนองปึ๋ง (หนองสะเรียม) ที่ อ.สันป่าตอง หรือ กว๊านพะเยาว์ จ.เชียงราย ฯลฯ ผลคือ ความหลากหลายทางชีวภาพหดหาย ทั้ง ปู ปลา กุ้ง หอย ฯลฯ ชาวบ้านหากินลำบาก แถมยังออกกฎเกณฑ์เข้มงวด ฯลฯ  หม้อข้าวหม้อแกงของชุมชนถูก "ความเจริญ-การพัฒนา" ทำลายธรรมชาติ ความอุดมสมบูรณ์ลดฮวบลง...ตัวอย่างก็เห็น-เห็นกันอยู่


 


ค น เ ร า  มนุษย์เรา เกิดมาเป็นเพียงเศษเสี้ยวธุลีฝุ่นของโลก เอกภพ จักรวาลเท่านั้นเอง มิได้ยิ่งใหญ่เหนือใดเลย มนุษย์ มีคุณค่าชีวิตเท่าเทียมกับสรรพสิ่ง-สรรพชีวิต ไม่ว่าจะเป็น...พาราสิต แบคทีเรีย หนอน นก หนู แมลง ปู ปลา กุ้ง หอย ช้าง ม้า วัว ควาย กรวด หิน ดิน ทราย ฯลฯ อันเป็น ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversty) ให้ดำรงอยู่อย่างสมดุลบนดาวโลกดวงนี้เท่านั้นเอง


 


เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกร่วมแผ่นดินที่เคารพ...ปรากฎการณ์โลกร้อน (Globa-warming), ภาวะเรือนกระจก(Green House Effect), ภูเขา-ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายหลุดลอย, อันนีโญ-ลานีญา, พายุไต้ฝุ่นโหมกระหน่ำหนักเพิ่มความรุนแรงและขยายอาณาบริเวณมากขึ้น, หิมะที่เมืองชิคาโก้ของประเทศจักรวรรดินิยมอเมริกา ไม่เคยมีหิมะตกก็มีตกมาแล้วเมื่อเร็วๆ นี้, ฝูงนกอพยพก่อนฤดูกาล, นกนางแอ่นที่ถนนสีลมหดหายเบาบางลงไป, ธรณีสูบ ภูเขาถล่ม, คลื่นยักษ์สึนามิ, น้ำท่วม, ฝนแล้ง, โรคเก่า – ใหม่ ระบาด หวนกลับคืนมา ฯลฯ


 


ปรากฎการณ์เหล่านี้ เป็นรูปธรรมชัดเจน เป็นผลมาจากน้ำมือของมนุษย์อวิชชานั่นเอง...มนุษย์...สัตว์มนุษย์ ผู้มีลำตัวตั้งฉากกับท้องฟ้า ผู้อวดอ้างว่ามีมันสมองล้ำเลิศประเสริฐศรีกว่าใครๆ


 


ความเรียงนี้ จึงไม่ต้องอ้างเหตุผลอันใดอีกแล้ว ว่าทำไมหมู่เฮาและผู้มีจิตสำนึก ฯลฯ จึงต้องพากันคัดค้านการสร้างกำแพงพนังคอนกรีตกั้นพนังสองฝั่งแม่น้ำปิง...


 


...มีคนให้เหตุผลกันมากมายแล้ว แต่หมู่ยักษ์มารยัง "หลึ่งหลึกหลืนฮิจะแป๋งอยู่!"


 


 


4. บทเพลงแห่งสายน้ำปิง


 


"...เยือกเย็นสดใสเหมือนน้ำแม่ปิง มั่นคงจริงใจ ฮักใคร ฮักจริง..."


"...บ้านของเฮา เฮาก่อฮัก บ้านของสู สูก่อฮัก..."


ฯลฯ...ฯลฯ...


 


...เ สี ย ง เ พ ล ง  อันพริ้งเพราะสดใสเยือกเย็น ของ "ปี้แอ๊ด สุนทรี เวชานนท์" แม่ญิงล้านนา ผู้มีหัวใจ๋ฮักหวงแหนแม่น้ำปิงอย่างเต็มเปี่ยมล้นชีวิตจิตวิญญาณ เช่นเดียวกับหมู่เฮาจาวเหนือและพี่น้องคนอื่นๆ ที่มาอาศัยอยู่บ้านเฮา


 


...เ สี ย ง เ พ ล ง ดังกังวานสดใส ทรงพลัง ...ดังก้องกังวานล่องลอยไปทั่วดินแดนล้านนา จวบ เหนือ-ใต้-ออก-ตก ฯลฯ สู่โลกเอกภพจักรวาล ล่องลอยไกล


 


"เตียมตั๋วเอาไว้เน้อ หมู่เฮา อย่าหื้อมือยักษ์มือมาร มาทำร้ายค่ำเขแม่ปิงเฮา!"


 


"อย่าไปหื้อไผมาเยี๊ยะขึดบ้านเฮา!"


 


 


แสงดาว ศรัทธามั่น                                


พรรษาฤดู, ล้านนาอิสระ เจียงใหม่


พอ.ศอ.สองพันห้าร้อยสี่สิบเก้า


 


 


หมายเหตุ : ชื่อเรื่อง เอามาจากภาพการ์ตูนของ "น.ส.พิริยากร อิทธิพันธุ์กุล" ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วย