ทรานสเจนเดอร์เขย่าอคติทางเพศในวงการวิทยาศาสตร์
คอลัมน์/ชุมชน
ภาพของบาร์รารา บาร์เรส และเบน บาร์เรส
จาก http://www.msnbc.msn.com/id/13879349/site/newsweek/
เมื่อปีที่ผ่านมา มีเรื่องโต้แย้งในวงการวิทยาศาสตร์ของอเมริกาเรื่องหนึ่งที่ร้อนระอุมาก และเรื่องยิ่งร้อนแรงขึ้นเมื่อมีทรานสเจนเดอร์ผู้ผ่านการแปลงเพศจากหญิงเป็นชายกระโดดเข้ามาร่วมในการโต้แย้งด้วย
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว ประธานมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในขณะนั้น คือ นายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส ได้กล่าวว่า ความแตกต่างของเพศชายเพศหญิงที่มีมาแต่กำเนิด น่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีผู้หญิงจำนวนน้อยนิดที่ประสบความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์ พูดง่าย ๆ ก็คือ นายซัมเมอร์สคิดว่า ผู้หญิงน่ะเกิดมาพร้อม ๆ กับความสามารถทางวิทยาศาสตร์ที่ด้อยกว่าผู้ชาย
คำกล่าวของเขาทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านอย่างรุนแรงจากบรรดาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยและนักวิทยาศาสตร์หญิงทั้งหลาย จนเขาเองต้องออกมาขอโทษหลายครั้งหลายหน และแก้ตัวด้วยการพูดถึงผลกระทบของการเลือกปฏิบัติ แล้วยังอนุมัติเงิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับโครงการดูแลลูก ๆ และโครงการอื่น ๆ สำหรับผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยในมหาวิทยาลัย แต่เขาก็ไม่สามารถทานกระแสต่อต้านได้ จนต้องลาออกไปเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
เรื่องยังไม่จบด้วยการลาออกของซัมเมอร์ส เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์อีกคนออกมาเขียนความคิดเห็นลงในวารสารวิทยาศาสตร์ Nature เพื่อตอบโต้นายซัมเมอร์ส ว่าจริง ๆ แล้วผู้หญิงไม่ได้อ่อนด้อยทางด้านวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่กำเนิดหรอก เป็นเพราะอคติต่อผู้หญิงในแวดวงวิทยาศาสตร์ต่างหาก ที่ปิดกั้นโอกาสก้าวหน้าของผู้หญิง เรื่องนี้จุดประเด็นที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะนักวิทยาศาสตร์คนนี้ยกข้อมูลของตัวเอง ในฐานะทรานสเจนเดอร์ที่แปลงเพศจากหญิงเป็นชาย และผ่านประสบการณ์การเป็นนักวิทยาศาสตร์ทั้งหญิงและชายมาแล้ว!
ตอนนี้ชื่อของเขาคือ ดร. เบน บาร์เรส (Dr. Ben Barres) ก่อนการแปลงเพศ เธอคือ ดร. บาร์บาร่า บาร์เรส (Dr. Barbara Barres) เบน พบว่า จากประสบการณ์ของเขาที่ได้ผ่านทั้งการเป็นหญิงและชาย ทำให้เขาเห็นชัดแจ้งว่าอคติของคนต่างหากที่เป็นตัวขัดขวางความก้าวหน้าทางอาชีพวิทยาศาสตร์ของผู้หญิง เขาเองเริ่มการเปลี่ยนเพศเมื่อ 9 ปีที่แล้ว หลังจากนั้นเขาได้ตระหนักว่าเขาได้รับการยอมรับและความเคารพมากขึ้นในสรีระของผู้ชาย
ตัวอย่างหนึ่งก็คือ เบนไปได้ยินนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเบนแปลงเพศ กล่าวชื่นชมเขาว่า เบนบรรยายได้ดีมาก ๆ ในการสัมมนาวันนี้ งานของเบนดียิ่งกว่าน้องสาวของเขาเสียอีก คือนักวิทยาศาสตร์คนนี้คิดว่าบาร์บาร่า บาร์เรส เป็นน้องสาวของเบน บาร์เรส
บาร์บาร่าฉายแววการเป็นนักวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็กแล้ว เธออยากจะเข้าเรียนต่อที่ MIT (Massachusetts Institute of Technology) ซึ่งมีชื่อเสียงด้านวิทยาศาสตร์มาก แต่ตอนอยู่มัธยมปลาย ครูแนะแนวบอกกับเธอว่า "เธอไม่วันเข้าได้หรอก" ทั้ง ๆ ที่เธอทำคะแนนคณิตศาสตร์ได้อย่างดีเยี่ยมและเป็นหัวหน้าทีมคณิตศาสตร์ของโรงเรียนอีกด้วย
อย่างไรก็ดี บาร์บาร่าทำตามความฝันของเธอ โดยการสอบเข้า MIT ได้ในที่สุด แต่เธอก็ต้องเผชิญกับอคติของอาจารย์ใน MIT อีกจนได้ สมัยเมื่อสามสิบปีก่อนนั้น MIT ยังมีนักศึกษาหญิงอยู่เพียงแค่ 5% เท่านั้น วงการวิทยาศาสตร์ก็ยังอยู่ในมือของผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ วันหนึ่งอาจารย์ผู้ชายของเธอให้ข้อสอบเป็นโจทย์คณิตศาสตร์ที่ยากมาก ไม่มีใครแก้ปัญหาได้เลย ยกเว้น บาร์บาร่า แต่ในห้องอาจารย์กลับประกาศว่าไม่มีใครแก้โจทย์ข้อนี้ได้ บาร์บาร่าข้องใจมากจึงเข้าไปถามอาจารย์หลังจากนั้น อาจารย์กลับตอบว่า "แฟน (ผู้ชาย) ของเธอแก้โจทย์ให้ล่ะสิ" ซึ่งเรื่องนี้ เบนกล่าวว่า ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย เพราะ หนึ่ง เขาไม่เคยมีแฟนผู้ชาย และสอง เขาเป็นคนแก้โจทย์ได้เอง
หลังจากจบจาก MIT แล้ว บาร์บาร่าเรียนต่อด้านแพทยศาสตร์ ที่ดาร์ทเมาท์ และจบปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ด อีกหนึ่งมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ ปัจจุบัน เบนเป็นนักวิทยาศาสตร์และอาจารย์ด้านประสาทวิทยา ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
ก่อนหน้านี้เบนไม่เคยคิดว่าเขาได้รับการเลือกปฏิบัติเพราะเป็นผู้หญิง ข้อนี้เขาบอกว่าคงเป็นความโชคดีที่เขาเป็นทรานสเจนเดอร์ เลยทำให้เขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายมากกว่า แต่หลังจากแปลงเพศ เขาจึงเห็นความแตกต่างระหว่างการเป็นผู้หญิงและผู้ชายได้อย่างเด่นชัด ตอนนี้เขาสังเกตว่า พวกผู้ชายที่ไม่รู้ว่าเขาแปลงเพศให้ความเคารพเขามากกว่าเดิมมาก เช่น พวกผู้ชายยอมฟังเขาพูดจนจบประโยคโดยไม่พูดแทรกขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ตอนที่เขาเป็นผู้หญิงนั้น เขาจะโดนขัดจังหวะเสมอ ๆ แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ อย่างการไปเดินห้าง เบนก็เห็นว่าตอนนี้พนักงานห้างจะเข้ามาคอยบริการเขามากกว่าแต่ก่อน การเป็นผู้ชายยังทำให้เขาได้ไปอยู่ในวงสนทนาในเรื่องที่ผู้ชายคงจะไม่พูดต่อหน้าผู้หญิง เช่น เบนได้คุยกับหมอศัลยกรรมคนหนึ่งที่กล่าวว่า เขาไม่เคยพบศัลยแพทย์หญิงคนไหนที่เก่งเท่าผู้ชายเลย
เบนกล่าวกับสำนักข่าวเอพีว่า การที่เขาออกมาตอบโต้ซัมเมอร์สนั้น "เกิดจากความรู้สึกว่าผมมีหน้าที่ที่ต้องพูด การแปลงเพศอาจจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตสำหรับหลาย ๆ คน แต่มันเป็นสิ่งที่ให้อิสรภาพกับเรา มันทำให้เราหวาดกลัวสิ่งอื่น ๆ น้อยลง" เบนคิดว่า กรณีซัมเมอร์สไม่ควรจบลงเร็วเกินไป เพราะเหตุการณ์นี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์หญิงรุ่นใหม่ได้รับคำกล่าวหาที่แย่ ๆ และอาจปิดโอกาสต่าง ๆ ได้
หลังจากที่เบนออกมาตอบโต้แล้ว ก็จุดประกายให้มีนักวิทยาศาสตร์อื่น ๆ ออกมาแสดงความคิดเห็น ทั้งเห็นด้วยและขัดแย้งกับเบนอย่างรุนแรง
หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์หญิงคนหนึ่งที่เห็นด้วยกับเบน คือ แนนซี่ แอนเดอร์สัน จิตแพทย์ชื่อดังจากมหาวิทยาลัยไอโอวา เธอยกตัวอย่างว่า เวลาที่เธอและสามีไปยืนเช็คอินที่เคาน์เตอร์สายการบินนั้น พนักงานจะให้ความเคารพสามีมากกว่าเธอ และแม้ว่าแอนเดอร์สันจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถจนเป็นหนึ่งในผู้หญิงไม่กี่คนที่เคยได้รับรางวัล National Medal of Science มาแล้ว ในวงสนทนากับผู้ชาย เธอมักถูกมองข้ามเสมอ ผู้ชายมักจะเข้ามาในวงแล้วทักทายทุกคนยกเว้นเธอ เธอบอกว่า ในแวดวงอาชีพนี้ "ผู้ชายไม่ได้ถูกใส่โปรแกรมให้มองเห็นผู้หญิง"
นักวิทยาศาสตร์ที่เห็นต่างจากเบน ก็เช่น สตีเวน พิงค์เกอร์ และ ปีเตอร์ ลอว์เรนส์ ทั้งสองอ้างว่า มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงกับผู้ชายมีความแตกต่างกันด้านความสามารถของสมอง พิงค์เกอร์ ซึ่งบอกว่าเขาเป็นเฟมินิสต์ โต้เบนว่า มีการทดลองที่แสดงว่า ผู้หญิงสามารถทำการคำนวณทางคณิตศาสตร์และการพูดได้ดีกว่าผู้ชาย ส่วนผู้ชายจะเก่งกว่าด้านการสร้างจินตภาพและการหาเหตุผลทางคณิตศาสตร์ ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจเลย ที่ในแวดวงการพัฒนาด้านภาษา จะมีผู้หญิงมากกว่า ส่วนด้านวิศวกรรมเครื่องยนต์แล้ว จะมีผู้ชายมากกว่า
ส่วนลอว์เรนส์ บอกว่า ดูจะเป็นยูโทเปียไปหน่อยที่ เราจะคิดว่า วันหนึ่ง จะมีผู้หญิงและผู้ชายจำนวนเท่าๆ กันในทุกๆ งาน รวมทั้งในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ด้วย
ทางเบนก็โต้กลับออกมาเช่นกัน เบนและอลิซาเบธ สเปลกี้ นักจิตวิทยาหญิงจากฮาร์วาร์ด ออกมายอมรับว่า เพศชายและหญิงนั้นมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะในเด็ก ๆ แต่ว่าบางทีความแตกต่างนั้นก็เกิดจากบรรดาผู้ใหญ่ที่ตีความพฤติกรรมของเด็กด้วยอคติทางเพศ การจะแยกธรรมชาติออกจากการเลี้ยงดูนั้นยากมาก
เบนบอกว่า การที่ใครทำแบบทดสอบไอคิวได้ดีกว่า ไม่ได้หมายความว่าคน ๆ นั้น ฉลาดกว่ามาแต่กำเนิด ใครก็ตามที่เรียนหนักกว่าก็ย่อมจะได้คะแนนดีกว่าเป็นธรรมดา ดูตัวอย่าง เด็กเอเชี่ยนอเมริกันที่เป็นผู้หญิงเป็นต้น เด็กกลุ่มนี้ทำคะแนนคณิตศาสตร์ได้ดีกว่าเด็กผู้ชายอเมริกัน แต่ไม่มีใครออกมาบอกว่า เด็กเอเชี่ยนอเมริกันผู้หญิงเก่งกว่ามาแต่กำเนิด
ปีที่แล้วสเปลกี้ โต้ซัมเมอร์สว่า ถ้าบอกว่าความแตกต่างที่มีมาแต่กำเนิดเป็นปัจจัยต่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อย่างที่ซัมเมอร์สว่าแล้ว เราจะอธิบายยุคที่ผ่านมาได้อย่างไร สองศตวรรษที่แล้ว เราไม่เห็นคนจีนหรือคนอินเดียในแวดวงวิทยาศาสตร์เลย ถ้าเราใช้เหตุผลของซัมเมอร์ส เราคงจะต้องบอกว่า ยีนของคนยุโรปน่ะ เป็นตัวทำให้นักวิทยาศาสตร์ผิวขาวเก่งคณิตศาสตร์กว่าชาวเอเชีย
เรื่องนี้คงยังไม่จบลงง่าย ๆ แต่ละฝ่ายคงต้องหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนและโต้เถียงอย่างเผ็ดร้อนกันต่อไปอีกนาน แต่ที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ ประสบการณ์การเคยเป็นคนทั้งสองเพศของเบน ที่ทำให้เขาได้ตระหนักถึงอคติทางเพศได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
ต้องขอขอบคุณทรานสเจนเดอร์อย่างเบน ที่ทำให้โลกได้เห็นแง่มุมที่แตกต่างหลากหลาย พร้อม ๆ ไปกับการสั่นคลอนอคติทางเพศซึ่งไม่เป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้หญิงและผู้ชาย