Skip to main content

พาแคร์

คอลัมน์/ชุมชน

พาแคร์ แล มา โล ต่า                    อะ ดอ อะ เส่อ ก๊อ อา


เต่อ เหน่ โต ปวา เก่อ ญอ               เต่อ แอะ เดาะ โต ปวา เก่อ ญอ


เต่อ หน่อ บะ ถ่อ หน่อ อึ                 บะ เก่อ เออ ต่า พอ เพาะ


เต่อ หน่อ บะ เช โม คา                   เลอ อะ โหม่ เหม่ ปวา ทา


 


พาแคร์ไปร่ำไปเรียน                      มีเพื่อนเพียบมีเกลอแยะ


ไม่มีเวลาพูดภาษาพ่อแม่                ไม่แยแสภาษาปวาเก่อญอ


ลืมกลิ่นถั่วเน่าของแม่                     ลืมแกงข้าวเบอะใส่ผักกาดแห้ง


เสื้อ เชโมคาแม่ทอไม่ยอมแล          กี่ฝน กี่แล้ง กี่หนาวได้แต่เฝ้าคอยพาแคร์       


 


(ส่วนหนึ่งของเพลงพาแคร์  คำร้อง-ทำนองโดย ชิ สุวิชาน อัลบั้ม เพลงนกเขาป่า)


 


 



 


 


เขาออกจากหมู่บ้านแห่งป่าไพร ดินแดนที่เขาเกิด เมื่อเขายังเด็ก เขาเองมิใช่คนกำหนดการเดินทางเช่นนี้  หากแต่เป็นความต้องการของผู้เป็นพ่อที่อยากให้เขามีการศึกษาที่ทัดทียมและเท่าทันต่อโลกเหมือนกับคนพื้นราบ จบมาจะได้เป็นเจ้าคน นายคนกับเขาบ้าง


 


เขาอาศัยอยู่ในเมืองอย่างคนแปลกถิ่น ต้องปรับตัวเพื่อความคุ้นชินต่อสภาพของสังคมเมือง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม


 


เขายิ่งอยู่เขายิ่งแกร่งต่อความเป็นเมือง แถบจะกลมกลืนกับเพื่อนคนพื้นราบ จนบัดนี้เขากลายเป็นคนแปลกหน้าของบ้านแห่งไพรที่ซึ่งเขาจากมา  หมาน้อยและเด็กน้อยไม่มีใครรู้จักเขา  เขาเองก็ไม่รู้จักแม้กระทั้งลูกเต้าเหล่าใครในหมู่บ้านของตนเอง


 


ช่วงที่เขาร่ำเรียนอยู่ นานๆ ปีเขาจะกลับบ้านครั้งหนึ่ง และตอนนี้เขาจบการศึกษา หางานทำในเมือง เขาแถบไม่กลับบ้านเลย  แต่ผู้คนที่หมู่บ้านเขาก็ยังถามหาข่าวคราวของเขาเป็นระยะๆ โดยเฉพาะคนในครอบครัวของเขาที่เฝ้าหวังการกลับมาเพียงแค่เยี่ยมเยียนจากเขา


 


ปีใหม่พ่อต้องมัดมือแต่เขากลับมาไม่ทัน เก็บเกี่ยวเสร็จพ่อต้องทำพิธีแต่เขากลับมาไม่ได้ แม่ไม่สบายเขาไม่มีเวลากลับ  น้องแต่งงานเขาก็ไม่มีจังหวะมา


 


ต้นไม้ชราในหมู่บ้านล้มหายตามกาลเวลา ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนจากไปคืนกลับสู่ดินทีละคนๆ กระทั่งตายายที่เลี้ยงเขาตั้งแต่หัวยังไม่เท่าไปป์ที่ตายายสูบ ได้หมดเวลาในการรอคอยเขาและกลับบ้านเก่า  ก็ยังไร้เงาเขากลับมา  มีเพียงข่าวคราวชั่วครั้งชั่วครู่ตามสายลมพัดพาแล้วผ่านเลยไปอย่างเนิ่นนานจนลืมตัว


 


วัน เดือน ปี ล่วงเลยและเป็นเช่นนี้จนครอบครัวปลงและชินกับชีวิตที่เขาเป็นไป  แต่ทุกคนยังหวังลึกๆ ว่าหากเขามีครอบครัวโดยเฉพาะถ้าเขามีภรรยาที่เป็นคนบ้านเดียวกันเขาจะกลับบ้านมากขึ้น


 


"ไม่ต้องห่วงหรอก   พอมันมีเมียที่บ้านเดี๋ยวมันก็กลับมาหาเมียเอง"  พ่อของเขาหวังอย่างนั้น


"เดี๋ยวจะรอดู ถ้ามันมีลูกแล้วมันคิดถึงลูกแล้ว มันจะเป็นยังไง  แล้วมันจะได้เข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่เสียที" แม่เขาบ่นถึงเขา


"คนที่ไม่เคยกลับมาที่บ้าน แล้วจะกลับมาได้เมียที่บ้านได้อย่างไร?" ใครคนหนึ่งคิดขึ้นในใจ


 


เหมือนข้อสันนิษฐานของใครคนนั้นเป็นข้อสมมุติฐานที่เป็นจริง เมื่อเขาส่งข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องที่จะหาคนที่จะมาเป็นแม่ให้ลูกของเขา  เขาตัดสินใจเลือกหญิงพื้นราบ เนื่องจากเขารู้สึกคุ้นชินกับหญิงพื้นราบมากกว่าหญิงสายเลือดเดียวกับแม่ของเขา


 


"เค้าจะเข้าใจวัฒนธรรมของเรามั้ย?"  พี่เขาถามด้วยความเป็นห่วง


"เค้าจะรับสภาพของครอบครัวเราได้มั้ย?" พ่อแม่เขาถามด้วยความกังวล


"แล้วเราจะคุยกับเค้ารู้เรื่องมั้ย?" หลานๆของเขาถามด้วยความสงสัย


"เค้าจะดูถูก  และทอดทิ้งเธอมั้ย?" เพื่อนเขาถามด้วยความวิตก


 


เขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเลือกเส้นทางที่เขาอยากให้เป็น ความเป็นห่วง ความวิตกกังวลและความสงสัยของคนรอบข้างไม่เป็นสิ่งที่ทำให้เขาลังเลใจหรือเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด


 


เมื่อเขาตัดสินใจอย่างนั้น ครอบครัวเขาได้แต่ภาวนาให้เขาใช้ชีวิตครอบครัวอย่างรอดฝั่ง  และดูเหมือนจะเป็นไปอย่างนั้น ในเมื่อเขามีพยานรักด้วยกัน 2 คน  นานๆ ทีเขาจะพาลูกและเมียขึ้นมาเยี่ยมที่บ้านบนดอยทีหนึ่ง


 


แต่ทว่า หลานคุยกับตายายไม่รู้เรื่อง  พ่อแม่คุยกับสะใภ้ไม่เข้าใจ  แต่พ่อแม่ก็ดีใจที่ได้พบเจอหน้า และพยายามสื่อสารกันอย่างสุดความสามารถ


 


หลานและสะใภ้อึดอัดกับการอยู่ในหมู่บ้านที่ต่างภาษาทำให้รู้สึกเหมือนตนกลายเป็นผู้แปลกปลอมในชุมชน  ทำให้บ้านแห่งไพรกลายเป็นที่อันไม่พึงประสงค์ของลูกและเมียของเขา


 


เขารู้สึกผิดหวัง  เมียเขาก็รู้สึกไม่ดี เขาจึงพยายามจะให้ลูกของเขาฝึกพูดภาษาปวาเก่อญอ  แต่ก็มิอาจมีแรงจูงใจดีพอที่ลูกของเขาจะหัดพูดได้  กอรปกับสภาพแวดล้อมทางสังคมเองก็ไม่เอื้ออำนวย  เขาพยายามจะให้เมียเขาทำตัวให้เป็นคนปวาเก่อญอ


 


"ฉันเป็นได้แค่ลูกสะใภ้คนปวาเก่อญอ  จะให้ฉันเป็นคนปวาเก่อญอเต็มๆ ได้อย่างไง  เหมือนเธอนั่นแหละจะให้มาเป็นคนเมืองอย่างฉันเต็มๆ เธอก็เป็นไม่ได้หรอก ภาษาเมืองเธอพูดยังไม่ชัดเลย ต้องพบกันคนละครึ่งทาง ฉันจะทำเท่าที่ฉันทำไม่ได้  แค่นี้ฉันก็ยอมเธอมากแล้ว" เป็นสิ่งที่แม่ของลูกเขาบอก


 


เขานึกว่าจะให้เมียของเขาซึ่งเป็นคนพื้นราบมาเป็นคนปวาเก่อญอให้ได้  เขาลืมและเขามองข้ามไปว่าทุกคนก็มีฐานวัฒนธรรมของตนเอง ซึ่งเราสามารถอยู่ร่วมกันได้บนความเข้าใจและยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน  ไม่ใช่ครอบงำหรือดูดกลืนฝ่ายหนึ่งฝายใด


 


เขาเริ่มนึกถึงความเป็นห่วงของพี่  ความกังวลของพ่อแม่  ความสงสัยของหลานๆและความวิตกของเพื่อนๆ  แต่เขาก็ต้องพาครอบครัวให้ไปตลอดรอดฝั่ง  ฝั่งที่เขาเลือกไปเอง


 


แต่ก่อนที่เขาจะถึงฝั่ง เขาเริ่มหันซ้ายหันขวา เริ่มหาดูว่ามีใครไหมที่ร่วมตกอยู่ในชะตาชีวิตเฉกเช่นเดียวกับเขา  เขายิ่งมองหาเขายิ่งพบเพื่อนร่วมชนเผ่าของเขาที่ตกอยู่ในสภาพเช่นเขาหลายคน เขาและกลุ่มเพื่อนจึงรวมตัวกันก่อกลุ่มขึ้นมาโดยเรียกตัวเองว่า "พาแคร์คลับ"


 


วัตถุประสงค์ของการรวมกลุ่มเพื่อที่จะร่วมกันแลกเปลี่ยนแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตครอบครัวที่จะเป็นบทเรียนตลอดจนช่วยกันหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาให้แก่กันและกัน เพื่อที่จะถึงฝั่งอย่างปลอดภัย


 


เขาเข้าเป็นสมาชิก พาแคร์คลับมาหลายปี เขาพบว่าพาแคร์ได้เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว หลายคนกลายเป็นพี่ใหญ่คอยสอนน้องๆที่เข้ามาใหม่ พาแคร์รุ่นใหม่ยังสืบต่อสายพันธุ์อย่างไม่หยุดยั้ง


 


ส่วนตัวเขาหวังว่าสักวันลูกของเขาจะเรียกเขาว่าพ่อ ด้วยภาษาปวาเก่อญอ  แม้ว่าจะเรียกแม่ด้วยภาษาคนพื้นราบก็ตาม


 


นี่คือเรื่องราวของ พาแคร์  มันเป็นเรื่องจริงที่สมมติขึ้นมา และมันเป็นเรื่องสมมติที่เป็นจริง!!!!!