Skip to main content

อดีตที่คนไม่ต้องการ

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา


ชีวิตผมมักจะประสบกับเรื่องประหลาดอยู่ประการหนึ่ง


 


นั่นคือตัวผมมักจะมีคนที่ล้มเหลวตกต่ำในชีวิต และคนที่กำลังมุมานะต่อสู้ชีวิต เข้ามาทำความรู้จักและปรับทุกข์ เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตของเขาให้ผมฟัง แต่พอชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไป กลับกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ตั้งแต่ระดับปรกติธรรมดาทั่วไปจนถึงระดับที่น้อยคนนักจะก้าวไปถึง แทบทุกคนที่เข้ามาหาผม หลังจากที่ชีวิตของเขาดีขึ้นหรือดีขึ้นมาก ๆ  คนพวกนี้ มักจะแสดงท่าทีไม่อยากคบค้าสมาคมกับผมอีกต่อไป


 


บางคน เวลาบังเอิญพบกัน พอเห็นผมทำท่าจะเข้าไปทัก เขาจะรีบทำเป็นมองไม่เห็นทำเป็นไม่รู้จัก และรีบเดินหนี บางคนแสดงอาการรังเกียจจนผมนึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้กันทุกคนนะครับ ผมหมายถึงส่วนมากเท่านั้นเอง เพราะยังมีบางคนที่ยังคงเสมอต้นเสมอปลายแต่มีน้อยมาก


 


ผมเก็บเรื่องนี้มาคิด ๆ ดู


ด้วยสามัญสำนึกธรรมดา ผมคิดว่า การที่พวกเขาไม่อยากรู้จักกับผม และไม่อยากให้ผมรู้จักกับพวกเขาอีกต่อไป คงเป็นเพราะว่า พวกเขาอยากจะลืมและลบอดีตที่เคยเล่าให้ผมฟัง เพราะคิดว่าอดีตของตัวเองที่เคยล้มเหลวตกต่ำหรือไม่มีอะไรเลย เป็นเรื่องที่น่าอับอายและต่ำต้อย พวกเขาจึงไม่ต้องการผมอีกต่อไป  เพราะผมไปรู้เรื่อง "อดีต" ที่เขาถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีไม่งามของตัวเองในปัจจุบัน ถ้าขืนยังคบหาสมาคมกับผมอีกต่อไป ผมอาจจะเผลอพูดขึ้นมาทำให้เขาเสียหาย


 


เช่น คนที่เคยล้มเหลวตกต่ำ เพราะเลิกกับแฟนเก่า ต่อมาโชคดี จับพลัดจับผลูได้แฟนใหม่ หนุ่มกว่าหล่อกว่า สวยกว่ารวยกว่า ย่อมไม่อยากให้ใครมาพูดถึงแฟนเก่าที่ตัวเองเคยคร่ำครวญถึง หรือคนที่กำลังออกรถป้ายแดงที่กำลังวางตัวหรูหราอยู่ในสังคมชั้นสูง ย่อมไม่อยากเจอแม้แต่เงาของคนที่ตัวเองเคยบากหน้าไปปรับทุกข์สมัยที่ยังกัดก้อนเกลือกินอยู่


 


เรื่องนี้


ถ้าคิดและมองกันแคบ ๆ ด้วยกรอบทางจริยธรรม เราจะรู้สึกทันทีว่าคนแบบนี้ เป็นคนไม่ดี เป็นคนลืมตัว เป็นคนอกตัญญู ไม่น่าคบ (เรามักจะได้ยินคนต่อว่ากันด้วยเรื่องทำนองนี้แทบทุกวงการ) แต่ถ้าคิดและมองกันให้ลึกและกว้าง ว่าเป็นเพราะอะไรทำให้คนเป็นกันแบบนี้ แม้แต่ตัวเราเองก็อาจเป็นโดยไม่รู้สึกตัว เราก็จะพบว่าสิ่งที่เป็นสาเหตุกำหนดให้คน "คิด" และ "ทำ" กันแบบนี้ คือค่านิยมของสังคมที่คอยแต่ยกย่องชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต และร่ำรวย แต่ตั้งข้อรังเกียจคนที่ล้มเหลวในชีวิตและคนที่ยากจนนั่นเอง ที่ทำให้คนเป็นกันอย่างนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาอยากจะลืมและลบอดีตที่เขาถือว่าเป็นเรื่องที่น่า "อับอาย"และ "ต่ำต้อย" ของเขาในปัจจุบัน


 


ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ


เพราะเรื่องที่ทำให้ใครสักคนหนึ่ง เกิดความรู้สึกอับอายและต่ำต้อย ไม่ว่าจะโดยสาเหตุใด มันเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจมนุษย์ที่ร้ายแรงที่สุดเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าผู้ถูกกระทำจะเป็นคนผิดหรือถูก ดีหรือเลว เมื่อเขาถูกกระทำให้อับอายและต่ำต้อยแล้ว เขาก็จะเกิดความรู้สึกด้านลบต่อตัวเองอีกความรู้สึกหนึ่งซับซ้อนขึ้นมา


 


นั่นคือ รู้สึกว่าตัวเองถูกทำลายคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นคนจนหมดสิ้น ว่ากันว่า เรื่องที่ทำให้คน "อับอาย" และ "ต่ำต้อย" เป็นเรื่องที่คนถือกันเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ ยิ่งกว่าเรื่องที่ทำให้คนกลัวตายเสียอีก จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ผมจะถูกพวกเขาปฏิเสธและรังเกียจในภายหลัง


 


เพราะผมคิดและเข้าใจของผมอย่างนี้


เดี๋ยวนี้ ผมจึงไม่ได้เก็บมาคิดถือโทษโกรธใครที่มาและไปแบบนี้ ต่างกันแต่ว่า เดี๋ยวนี้ หากมีใครสักคนหนึ่งตกอยู่ในสถานะแบบนี้ ซวนเซเข้ามาหาผม ถ้าหากไม่ใช่คนที่รักและชอบพอกันจริงๆ ผมก็จะพยายามกันเขาออกไปจากชีวิต


 


เพราะผมกลัวความใจดีของผม จะกลับกลายเป็นถังขยะในภายหลัง  บางครั้งความเข้าใจชีวิต ก็ทำให้เราต้องกลายเป็นคนใจร้ายกับคนที่เราควรช่วยเหลือเกื้อกูล เพราะบางเรื่องของมนุษย์ มันละเอียดอ่อนซับซ้อนและน่ากลัวอย่างนี้นี่เอง.