Skip to main content

ติดตามโครงการท่อก๊าซไทย-พม่า: 7 ปีเสีย "ค่าโง่" ถึง 38%

คอลัมน์/ชุมชน

1


เมื่อมีคนเป็นห่วงเรื่องการนำนกกระดาษไปโปรยในเขต 3 จังหวัดภาคใต้ ท่านนายกฯ ทักษิณบอกว่า "ไม่ต้องห่วง เวลาผมคิดอะไร ผมคิดทะลุ"


เมื่อนักวิชาการจากภาคใต้เข้าพบนายกฯ ทักษิณเพื่อชี้แจงให้ทบทวนโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย (4 ม.ค.45) ด้วยเหตุผลว่า "ประเทศไทยยังไม่จำเป็นต้องใช้ก๊าซมากมายถึงขนาดนั้น ภาคใต้เองก็ยังไม่มีความจำเป็น เดี๋ยวจะเจอปัญหา "ค่าโง่" หรือ "ค่าไม่ใช้ก็ต้องจ่าย" ซึ่งประเทศไทยได้เสียไปแล้วถึงกว่า 3 หมื่นล้านบาท" (ในตอนนั้น)


ท่านนายกฯ บอกว่า "เรื่องนี้เกิดในสมัย ส.ส.สงขลาเป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรม รัฐบาลนี้กำลังแก้ปัญหาอยู่"



สิบเดือนต่อมา หลังจากท่านนายกฯ พูด หน่วยงานของรัฐคือ ปตท. ก็ได้นำผลงานการแก้ปัญหาของตนมาเสนอผ่านสื่อว่า สามารถกล่อมพม่าให้ลดราคาก๊าซลงได้ คิดเป็นมูลค่าถึง 5 พันล้านบาท


แต่เมื่อเราอ่านข่าวดี ๆ (ซึ่งผมได้คัดลอกต้นฉบับมาให้ดูกันด้วย) ก็พบว่า ทางพม่าจะยอมลดราคาก๊าซให้ก็ต่อเมื่อประเทศไทยได้ซื้อก๊าซในจำนวนที่เกินจากที่ได้ระบุไว้ในสัญญาเท่านั้น (กรุณาเพ่งดูในกรอบสีแดง)


ปัญหามีอยู่ว่าแล้วประเทศไทยรับก๊าซได้เกินจากที่สัญญาระบุไว้หรือไม่?


2


เกือบ 3 ปีผ่านไป เรามาติดตามโครงการท่อก๊าซไทย-พม่ากันดูซิครับว่า ท่านนายกฯ ผู้คิดอะไรทะลุปรุโปร่ง ได้แก้ปัญหาอะไรไปบ้างแล้ว


ผู้อ่านประชาไททุกท่านสามารถเข้าไปดูข้อมูลของทางกระทรวงพลังงานได้ที่ http://www.eppo.go.th/info/T25.html แต่ท่านอาจจะงงจนปวดหัวสักนิด เพราะข้อมูลเป็นตาราง ยังไม่ได้ผ่านการวิเคราะห์ ผมขอถ่ายมาให้ดูสักส่วนหนึ่งเพื่อเป็นแนวทางการค้นหาของท่าน ขอให้ดูที่ "TOTAL IMPORT" ซึ่งหมายถึงก๊าซที่รับจากพม่าที่มีอยู่ 2 แหล่งคือ YADANA กับ YETAKUN



ข้อมูลล่าสุดมีจนถึงเดือนกันยายน 2547 จากที่เริ่มต้นโครงการเมื่อ 1 กรกฎาคม 2541 หรือเมื่อ 7 ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตามแม้ท่านดูในตารางสักกี่รอบ ก็คงไม่เข้าใจ เพราะข้อมูลไม่ได้ระบุว่าในสัญญาประเทศไทยต้องรับก๊าซจำนวนเท่าใด ตัวเลขที่แสดงในตารางเป็นตัวเลขที่รับจริง ไม่มีตัวเลขที่ระบุในสัญญา


แต่ที่ผมนำ "แฟนประชาไท" มาถึงจุดนี้ก็เผื่อว่าจะได้ช่วยกันตรวจสอบในโอกาสต่อ ๆ ไป
ในวันนี้ผมขออนุญาตนำเสนอวิธีการและสรุปผลการศึกษาของผมก่อนนะครับ

- ผมนำตัวเลขรับซื้อก๊าซตามสัญญา (ซึ่งผมได้มาจากแหล่งอื่น) มาคิดปริมาณการใช้สะสมตั้งแต่วันแรกจนถึงเดือนกันยายน 2547 ดังเส้นสีดำในกราฟ (โปรดดูกราฟด้านล่าง)

- นำตัวเลขรับซื้อจริง (จากเว็บไซต์ของกระทรวงพลังงานที่ผมกล่าวถึงแล้ว) มาคิดการใช้สะสม ดังเส้นสีม่วง

- เอาเส้นสีดำตั้ง ลบด้วยเส้นสีม่วง ได้เส้นสีเหลือง ซึ่งก็คือ "ปริมาณที่ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย" หรือ "ค่าโง่" นั่นเอง ซึ่งค่าโง่นี้มีจำนวนถึง 38% ของจำนวนที่ระบุในสัญญา แม้ในอนาคตตัวเลขที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จะค่อย ๆ ต่ำลง(เพราะมีการใช้ก๊าซสูงขึ้น) แต่มูลค่าของ "ค่าโง่" จะสูงขึ้นทุกวัน เพราะในขณะนี้ก็ยังคงซื้อในจำนวนที่ต่ำกว่าที่สัญญาระบุ ตอนนี้ แต่ละวันไทยสัญญาว่าจะรับจำนวน 925 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต แต่รับได้จริงเพียง 706 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตเท่านั้น (กรุณากลับไปดูเว็บอีกรอบ-ถ้าไม่เชื่อผม) ดังนั้น ฝ่ายไทยต้องเสียค่าโง่ทุกวัน ทุกเดือน ๆ ละเกือบ 1 พันล้านบาท


3


สรุป

1. นับแต่เริ่มโครงการ กรกฎาคม 2541 ถึง 30 กันยายน 2547 รวมเวลา 7 ปีกว่าประเทศไทยได้ใช้ก๊าซจริงเพียง 62% ของที่สัญญาระบุ ส่วนที่ไม่ได้ใช้ 38% ทาง ปตท.ก็ต้องจ่ายเงินให้เขาไปก่อน ถ้าคิดเป็นเงินคร่าว ๆ ก็น่าจะไม่น้อยกว่า 5 หมื่นล้านบาท ถ้าเป็นบริษัทส่วนตัวของเจ้าสัวท่านใดก็ตาม ผู้จัดการคงโดนเตะออกไปนานแล้ว แต่กรณีนี้ไม่เป็นไรเพราะเป็นกิจการผูกขาดแต่ผู้เดียว ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็สามารถผลักภาระของตนไปให้ผู้บริโภคได้


2. ตอนนี้ แต่ละวันไทยสัญญาว่าจะรับจำนวน 925 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต แต่รับได้จริงเพียง 706 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตเท่านั้น (กรุณากลับไปดูเว็บอีกรอบ-ถ้าไม่เชื่อผม) ดังนั้นไทยต้องเสียค่าโง่ทุกวัน ทุกเดือน ๆละเกือบ 1 พันล้านบาท


3. ก๊าซจากโครงการไทย-มาเลเซีย ที่ผ่านอำเภอจะนะประมาณ 91-99% เขาส่งไปให้ชาวมาเลเซียใช้ แต่ก็อ้างว่าจะเอาก๊าซมาพัฒนาภาคใต้ของไทย ส่วนชาวไทยรับเอาความเสี่ยงจากอุบัติเหตุเอาเอง ทั้ง ๆ ที่ "เนื้อก็ไม่ได้กิน หนังก็ไม่ได้รองนอน" กระบวนการดำเนินโครงการนี้ก็ไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด มีการละเมิดสิทธิการใช้ที่ดินของสาธารณะ รวมทั้งการออกเอกสารสิทธิ์ก็ไปอย่างเคลือบแคลง เมื่อชาวบ้านจับได้ไล่ทัน เจ้าหน้าที่ของรัฐก็จงใจละเว้นไม่สอบสวนหาความจริงเพื่อเอาคนผิดมาลงโทษ


4. ทั้ง ๆ ที่กำลังการผลิตไฟฟ้าในภาคใต้มีเหลือเฟือ แต่ทางการก็ "เล่นคำ" เช่น ไม่นำไฟฟ้าที่รับซื้อจากมาเลเซีย (ซึ่งฝ่ายไทยได้ลงทุนเปลี่ยนสายส่งไปหลายพันล้านบาท) ไม่นับที่ส่งมาจากภาคกลาง (ทั้ง ๆ ที่กำลังเปลี่ยนสายส่งมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท)


นี่เป็นการ "คิดทะลุปรุโปร่ง" ตามที่ท่านนายกฯ พูด หรือเป็นการดันทุรังผิดซ้ำซากกันแน่ ควรหรือที่ผู้บริโภคจะไม่สนใจ เพราะทุกอย่างเป็นต้นทุนที่ผลักมาที่ผู้บริโภคทั้งนั้นเลย (จบแล้วครับ)