Skip to main content

บันทึกโรคร้าย (1)

-1-


 


ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะมีเชื้อโรคร้ายอยู่ในตัวของผม  หากได้รู้เสียแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะได้แต่งงานกับน้องหน่อย, คนรักของผม อะไรๆ มันก็คงไม่หนักหนาสาหัสถึงขนาดนี้  ตอนนี้ทุกอย่างสายเกินไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งการโจมตีจากเชื้อโรคร้ายและชีวิตจะต้องพังทำลายลงในที่สุด


 


มันบ่อนเซาะ กัดกร่อน และเร่งเวลาที่มีอยู่น้อยนิดของมนุษย์บนโลกใบนี้ให้สั้นเข้าไปอีก    แต่ผมไม่เหลือเหตุผลอะไรอีกแล้วที่ต้องอาวรณ์ต่อโลกใบนี้และชีวิตที่แสนสั้นและสิ้นหวังอีกต่อไป ห่วงก็แต่คนข้างหลังซึ่งเป็นไปได้มากที่จะเดินซ้ำรอยเดียวกันอีก


 


มันร้ายยิ่งกว่ามะเร็งร้าย เพราะมะเร็งนั้นขยายและทำลายเฉพาะคนที่มีเนื้อร้ายอยู่เท่านั้น แต่นี่มันสามารถแพร่กระจายจากตัวผมไปยังคนอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย และคนอื่นๆ ที่ว่านั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนใกล้ชิดผม, เป็นคนที่ผมรัก เป็นเรื่องตลกร้ายที่เชื้อโรคที่ว่านี้แพร่กระจายกันในหมู่คนที่ใกล้ชิดผูกพันกันเท่านั้น


 


ผมเหลียวหลังกลับไปมองคนที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน ซึ่งกำลังเดินตามหลังผมมาเป็นจำนวนมากจนเหลือคณานับ ผมพยายามจะหันไปบอก  แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะมันสายเกินไปแล้วเช่นกัน คนเหล่านี้ตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างไปจากผมมากเท่าไหร่นัก


 


แล้วยังมีคนอื่นอีกมากมายที่กำลังจะเข้าสู่เส้นทางนี้ เส้นทางที่ชีวิตกับเชื้อโรคร้ายจะอาศัยอยู่ด้วยกันและในที่สุดก็ตายไปด้วยกัน ดูเหมือนทางชีวิตเส้นนี้จะทอดยาวออกไปจนไม่มีที่สิ้นสุด และผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะไม่มีวันสิ้นสุด ตราบเท่าที่ยังมีมนุษย์หลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้,ตราบเท่าที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะหาหนทางกำจัดเชื้อโรคร้ายที่อาศัยอยู่ในตัวมนุษย์นี้ได้แม้ว่าจะมีความพยายามกันมานานมากแล้วก็ตาม


 


ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจเราหลายคนต่างถ่ายทอด และส่งต่อเชื้อโรคร้ายนี้ให้คนรุ่นถัดไปเรื่อย ๆ ราวกับว่ามันเป็นกรรมพันธุ์ซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และคนที่ได้รับเชื้อโรคนี้เข้าไปต่างมีทางเลือกน้อยเหลือเกินสำหรับการเผชิญหน้ากับชีวิตที่ยังหลงเหลืออยู่


 


ผมพยายามปิดบังไม่ให้ใครรู้ว่าเรามีเชื้อโรคร้ายนี้อยู่ในตัว แต่เรื่องทำนองนี้ยิ่งปิดบังมันก็เหมือนยิ่งแสดงออกมาให้คนอื่นเห็น และเจ้าเชื้อโรคร้ายนี้ให้ทางเลือกน้อยมากในการต่อสู้กับมัน ในที่สุดเจ้าเชื้อโรคร้ายนี้มันก็ฟ้องตัวมันเองและตัวผมต่อสาธารณชน คนเราสามารถปิดบังความชั่วนานัปการได้แต่ไม่อาจปิดบังเชื้อโรคร้ายนี้ได้


 


พอรู้ว่าตนเองมีเชื้อโรคร้ายนี้อยู่ ผมยิ่งพยายามเพิ่มความรอบคอบต่อการทำงานมากขึ้น ไม่ยอมให้งานค้างคาข้ามวันข้ามคืน ไม่เปิดโอกาสให้เขาหาข้ออ้างมาเล่นงานผมได้ เพราะถ้าเกิดว่าผมออกจากงานอะไร ๆ คงจะแย่หนักเข้าไปอีก


 


แต่ใจจริง ผมไม่อยากทำงานอีกต่อไปแล้ว งานวิศวกรที่ทำอยู่ได้กลายเป็นภาระมากกว่าความสนุกสนานดังแต่ก่อน  บางทีสิ่งที่ร้ายกว่าเชื้อโรคร้ายที่มีอยู่ในตัวผม ก็คือความรังเกียจเดียดฉันท์ที่มีอยู่ในตัวทุกคน  และหากความรังเกียจเดียดฉันท์ที่เพื่อนร่วมงานมีให้แก่ผมเป็นเชื้อโรคร้ายอีกชนิดหนึ่ง  เชื้อโรคร้ายแบบใดที่น่ากลัวและรักษาได้ยากกว่ากัน?


 


-2-


             


ภรรยาผมตายไปก่อนแม้ว่าจะติดเชื้อโรคหลังจากผมก็ตาม กำลังใจเธอไม่ดีเลย เหลือแต่เพียงลูกสาวที่ยังเล็กมากซึ่งก็ติดเชื้อโรคร้ายนี้ไปด้วย    ผมจึงตัดสินใจออกจากงานเพื่อมาดูแลลูก  เมื่อคิดถึงอนาคตของลูก ผมจึงไปทำประกันชีวิต แต่ทางบริษัทประกันไม่ยอมให้ทำเขาคงคิดว่ามันไม่คุ้มที่จะเสี่ยง เมื่อคิดถึงกำไรมันก็คงจะถูกแล้วที่เขาไม่ยอมให้ทำ


 


ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว  ความตายของภรรยาสะเทือนใจผมอย่างแรง  ผมรอคอยอยู่ทุกเวลานาทีที่จะได้ไปจากโลกนี้ การเลือกหนทางของการฆ่าตัวตายอาจจะเป็นบาปในสายตาของนักการศาสนา แต่การมีชีวิตอยู่อย่างเป็นทุกข์ก็เป็นบาปเช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ แต่ผมก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปเมื่อคิดถึงลูกและอนาคตของลูก


 


ลูกมีกำลังใจดีกว่าผมมาก  ลูกยังคงมองโลกในแง่ดีและยิ้มหัวไปตามประสา เล่นกับเด็กคนอื่น ๆ ได้โดยที่เด็กๆ คนอื่นก็ไม่ได้รังเกียจอะไรแม้จะรู้ว่าลูกของผมมีเชื้อโรคร้ายอยู่ในตัว เด็กอาจจะยังไม่รู้ว่าความเกลียดชังนั้นเป็นอย่างไร


 


ลูกถามผมว่า "ทำไมพ่อร้องไห้"


ผมไม่ตอบอะไร เธอจึงพูดต่อไปว่า "ลูกยังไม่ร้องไห้เลย"


 


เชื้อโรคร้ายอาจจะยังไม่ออกฤทธิ์โจมตีลูก ลูกจึงไม่เป็นอะไรมาก หรืออาจเป็นไปได้ว่าลูกมีภูมิคุ้มกันของความเป็นเด็กที่ช่วยลดความรุนแรงของโรคร้ายนี้ได้


 


ผมคงไม่อาจเห็นลูกเติบโตเป็นเจ้าสาวแสนสวยของผมและภรรยา ดังที่เราเคยจินตนาการกันตอนมีลูกใหม่ๆ เพราะผมคงจากโลกนี้ไปก่อน แต่ผมก็หวังว่าลูกของผมจะได้รับการดูแลจากคนรอบข้าง จากเพื่อนๆ และจากสังคม และหวังว่าอนาคตข้างหน้าลูกสาวของผมจะหายจากการติดเชื้อโรคร้ายแม้ว่าผมจะไม่เห็นวันนั้นก็ตาม