แม่ลูกผูกพัน พากันไปดูหนัง "SEASONS CHANGE เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย"
คอลัมน์/ชุมชน
คุณต่าย ทีมงานที่แสนดีของ คุณเก้ง-จิระ มะลิกุล ที่ดิฉันได้รู้จักคุ้นเคยด้วยหนังมหาลัยเหมืองแร่ เป็นสื่อเชื่อมใจ เธอโทร.มาชวนดิฉันไปดูหนังรอบเปิดตัวต่อสื่อมวลชน เมื่อคืนวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๔๙ เรื่อง "SEASONS CHANGE เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย"
ในจดหมายที่ส่งมายังวุฒิสภา ระบุว่า "เป็นหนังวัยรุ่นที่ส่งเสริมให้เด็กสนใจดนตรี มุ่งมั่นที่จะศึกษาดนตรีอย่างจริงจัง" ดังปรัชญาของ ดร.สุกรี เจริญสุข ผู้อำนวยการ ผู้ก่อตั้งวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล (ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้คุณเก้ง-จิระ มะลิกุล และ คุณต้น-นิธิวัฒน์ ธราธร ผู้กำกับ คิดสร้างหนังเรื่องนี้) ที่สร้างปรัชญาใหม่ว่า "ดนตรีเป็นวิชาของนักปราชญ์ เป็นวิชาของคนฉลาด ดนตรีเป็นหุ้นส่วนของชีวิต คุณภาพของมนุษย์นั้น ขึ้นกับดนตรีที่ดี การเรียนดนตรีเพื่อให้เป็นคนเต็มคน ให้มีรสนิยม มีคุณค่า สามารถประกอบอาชีพระดับชาติ สากล เป็นมืออาชีพ มิใช่เป็นอาชีพ "เต้นกินรำกิน" อย่างที่เคยถูกมองในอดีต"
เมื่ออ่านเอกสารเรื่องประวัติวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ และประวัติของ ดร.สุกรี เจริญสุข ก็ยิ่งประทับใจในความพยายาม ที่อาจารย์สุกรี ได้ฝ่าฟัน "ทะเลาะกับคน ทะเลาะกับระบบ" จนสร้างวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ได้สำเร็จโดยสอนตั้งแต่เตรียมมัธยม จนถึงปริญญาเอก โดยมีปรัชญาว่า "สร้างดนตรีให้เป็นคนดี และคนเก่งในคนเดียวกัน"
คงจะเป็นด้วยสายเลือดทางดนตรีและศิลปะ ที่ดิฉันสืบทอดจากคุณพ่อ (พลโท มล.ขาบ กุญชร) แม้ดิฉันจะไม่เคยเรียนหรือฝึกเล่นดนตรีเลย เพียงเรียนร้องเพลงไทยเดิมกับเรียนรำวงมาตรฐาน สมัยประถม ๕ ๗ ที่โรงเรียนวัดนาคปรก เขตภาษีเจริญ ธนบุรี ดิฉันจึงชื่นชมและปิติกับความงามทางศิลปะทุกชนิด เมื่อมีใครชวนไปดู ไปฟัง ดิฉันก็จะหาโอกาสไปสร้างสุนทรีย์ให้ชีวิตเสมอ
คุณต่ายถามทางโทรศัพท์ว่า "จะมาดูหนังกี่ท่านคะ จะเตรียมบัตรชมภาพยนตร์ไว้ให้" ดิฉันจึงโทร.หาลูกชายวัยรุ่น ที่เรียนอยู่ปี ๒ คณะวิศวะ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ว่าจะไปดูหนังของผู้กำกับที่เคยกำกับเรื่อง "แฟนฉัน" คุณต้น-นิธิวัฒน์ ธราธร ลูกชายเสียงตื่นเต้นถามว่า "เรื่อง SEASONS CHANGE เหรอ ลูกหว้าชวนเพื่อนไปด้วย ๔ ๕ คนได้ไหม? อยากดู กำลังจองตั๋วจะไปดูกับเพื่อนอยู่แล้ว"
ดิฉันรู้สึกดีใจแทนคุณเก้งผู้อำนวยการสร้าง ที่ประสบความสำเร็จในขั้นต้นแล้ว อย่างน้อยวัยรุ่นนักศึกษามหาวิทยาลัยผู้เป็นกลุ่มเป้าหมายของหนังเรื่องนี้ก็สนใจที่ไปดู
แต่น่าเสียดายที่คุณต่ายบอกว่า "ขอครูแดงกับลูกชายแค่ ๒ คน ก่อนนะจ๊ะ คนจองเต็มหมดแล้ว" แม่ลูกจึงไปดูกันแค่ ๒ คน
แม่ประชุมเสร็จรีบไปรับลูกที่หอใกล้มหาวิทยาลัย แล้วมานั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานีสยาม รีบเดินไปชั้น ๕ พารากอนซีนีเพล็กซ์ สยามพารากอน เพราะคุณต่ายบอกว่ามีการแนะนำตัวทีมผู้สร้างดารา และการแสดงให้ชมตั้งแต่ ๑ ทุ่ม
ถึงหน้าโรงเห็นคนเต็มแน่นขนัด คุณต่ายเดินมาหาที่จุดนัดพบ พาไปพบคุณเก้ง ผู้กำกับ และทีมงาน ที่ล้วนหน้าตาเบิกบาน คงปลื้มใจที่ผู้คนหลั่งไหลมาให้กำลังใจในรอบเปิดตัวต่อสื่อมวลชน
คุณเก้งและคณะใส่เสื้อยืดของภาพยนตร์สีฟ้าสดใสเป็นสัญลักษณ์หนัง "SEASONS CHANGE เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย" ลูกหว้าคงอยากได้ตามประสาวัยรุ่นถามว่า "เขาขายหรือเปล่าครับ" จึงได้อภินันทนาการมา ๒ ตัว ยิ้มแก้มปริ ใส่เดี๋ยวนั้นเลย แล้วก็เดินไปถ่ายภาพบรรยากาศในงานไว้เป็นที่ระลึก
ได้พบกับ "โกไข่" ผู้เล่นเป็น "โกต๋อง" ในมหาลัยเหมืองแร่ บอกว่า "เรื่องนี้ผมเล่นเป็นพ่อพระเอกครับ ดูแล้วจะซึ้งเรื่องความรักในครอบครัว หนังเรื่องนี้ส่งเสริมความสัมพันธ์ภายในครอบครัวได้อย่างลงตัวมากครับ"
เมื่อรายการหน้าโรงจบ ผู้จัดก็เชิญผู้ชมเข้าโรงฉาย แม่กับลูกได้บัตรของโรงสยามภวาลัยซึ่งเป็นโรงหน้าชั้นเลิศ ที่นั่งสบาย บรรยากาศดี ห้องน้ำข้างนอกก็สะอาด มีสบู่ล้างมือ มีกระดาษชำระ พนักงานคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา เป็นโรงหนังมาตรฐานจริง ๆ
เมื่อเริ่มฉายหนังตัวอย่าง ผู้ชมก็เข้ามาจนเต็มทุกที่นั่ง น่าชื่นใจแทนทุกคนที่มีส่วนร่วมทำหนังเรื่องนี้ ที่รอบแรกคนก็ล้นโรง
ตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 58 นาที ของการดูหนัง เป็นบรรยากาศความสุขและรอยยิ้ม สมกับสโลแกนของหนังที่ว่า "รักโรแมนติกใสๆ สไตล์คอมเมดี้ เรื่องราวความรักของวัยรุ่น และดนตรี หนังรักอารมณ์ดี ที่ดูกี่ทีก็ยิ้ม และอิ่มในหัวใจ"
เรื่องย่อของหนังคือ
ฮัดเช้ย!
เวลาที่เราจาม เป็นเพราะมีคนคิดถึง หรือเพราะอากาศเปลี่ยนกันแน่นะ?
ปลายฤดูหนาว... หลังเรียนจบ ม. ๓ ป้อม ตัดสินใจสอบเข้าเรียนต่อที่ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล
โรงเรียนที่สอนดนตรีเป็นวิชาชีพตั้งแต่ชั้น ม.ปลาย ...เพราะความรัก........แต่ไม่ใช่เพราะรักดนตรีหรอก มันรักผู้หญิงต่างหาก
เธอชื่อ ดาว ...สวย เรียบร้อย เรียนเก่ง เป็นที่หมายปองของหนุ่ม ๆ ทั้งโรงเรียน รวมถึงไอ้ป้อมด้วย มันได้แต่แอบมองเธอห่างๆ มาตลอด ๓ ปี พอรู้ว่าดาวมาสอบเข้าที่นี่ ก็เลยตามมา ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักโรงเรียนนี้มาก่อนด้วยซ้ำ
แล้วป้อมก็สอบติด! ด้วยพรสวรรค์การตีกลองระดับอัจฉริยะที่พระเจ้าประทานมาให้ ทดแทนความไม่เอาไหนในเรื่องอื่นๆของมัน
แต่เรื่องเริ่มวุ่นวายเอาตรงที่พ่อกับแม่ดันเข้าใจผิดว่าลูกชายสอบติด "เตรียมหมอ"??? ป้อมก็เลยต้องปิดเรื่องโรงเรียนเป็นความลับ ไปพร้อมๆกับเรียนรู้โลกใบใหม่ที่แสนสนุก เพราะที่นี่เน้นหนักเรื่องดนตรีที่มันถนัดล้วนๆถึง ๗๐% ส่วนที่เหลือถึงจะเป็นวิชาสามัญจำพวกเลข วิทย์ อังกฤษ ภาษาไทย ฯลฯ ที่เคยเป็นยาขมมาก่อน
แล้วจู่ๆ ไอ้ป้อมก็ดันทิ้งพรสวรรค์ด้านการตีกลองชุดไปสมัครเข้าวงออเคสตรา เพื่อหาทางใกล้ชิดกับดาวที่เป็นนักไวโอลินมือหนึ่งอยู่ในนั้น ...แม้นานๆทีถึงจะได้ตีกลองทิมปะนี สักแปะ แต่แค่นี้ก็มีความสุขแล้วกับการได้อยู่ใกล้ผู้หญิงที่ตัวเองแอบรักเข้าไปอีกนิด
...แต่ผ่านฤดูฝนเข้าไปแล้ว ความสัมพันธ์กับดาวก็ยังไม่คืบหน้าไปถึงไหน ในขณะที่ความเอาจริงเอาจังของ อ้อม เพื่อนซี้ที่นั่งตีฉาบอยู่ข้างๆ กลับทำให้ป้อมเริ่มสนใจดนตรีคลาสสิกขึ้นมาทีละนิด เธอคนนี้น่ะ สอบเข้ามาด้วยคะแนนทฤษฎีที่เป็นอันดับหนึ่ง แต่ฝีมือเล่นดนตรีกลับไม่เอาไหน จนอาจารย์ต้องเลื่อนให้มานั่งตีฉาบอยู่ข้างๆไอ้ป้อม
แล้ววันหนึ่ง ดาวก็หล่นจากฟ้ามาชวนให้ป้อมสอบชิงทุนไปเรียนต่อเมืองนอกด้วยกัน นั่นแปลว่าป้อมต้องกลับไปฟื้นฟูพรสวรรค์ด้านดนตรีสากลของตัวเองขึ้นมาใหม่
เมื่อฤดูหนาวเวียนกลับมาอีกครั้ง ในขณะที่เรื่องโรงเรียนก็ยังเป็นความลับกับที่บ้าน และถึงเวลาที่ป้อมต้องตัดสินใจ ...ระหว่างดาวกับอ้อม ...ระหว่างดนตรีสากลกับดนตรีคลาสสิก ไอ้ป้อมที่เคยใช้หัวใจเลือกทางเดินให้ชีวิตตัวเองมาตลอด ชักเริ่มมีปัญหา
...เพราะไม่แน่ใจหัวใจตัวเองจะเปลี่ยนแปลงเหมือนอากาศหรือเปล่า?
ดาราทุกคนทั้งป้อม พระเอก นางเอก ๒ คน คือ อ้อมกับดาว พ่อแม่ของป้อม ครูดนตรีชาวญี่ปุ่น (ยาโน่ คาซูกิ) ครูกำกับวงคลาสสิก (โอปอล์-ปาณิสรา พิมพ์ปรุ ผู้เป็นแฟนของครูญี่ปุ่น) เพื่อนซี้วงร็อค ๒ คน ของป้อม และผู้แสดงประกอบทุกคน แสดงอย่างเป็นธรรมชาติ ทุกฉากมีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ มีความสุข
สถานที่หลักในเรื่อง คือ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ บรรยากาศแวดล้อมด้วยธรรมชาติ ต้นไม้ที่สวยงาม แสดงถึงการเรียนดนตรีอย่างมีความสุข มีวินัย สามัคคี มีหลักวิชาการ มีความรัก ความอบอุ่น มิตรภาพของเพื่อน ๆ และครูกับศิษย์ มีความเพียรพยายามที่จะทำให้ผลงานดีขึ้น
ครอบครัวของป้อมแสดงถึงความอบอุ่น อ่อนโยน ความใส่ใจของพ่อแม่ต่อลูก แม้จะฝืนใจเรื่องการเรียนของลูกในเบื้องต้น แต่เมื่อเพื่อนของพ่อและครูดนตรีของลูกมาช่วยประสานความเข้าใจ เรื่องก็จบด้วยความเข้าใจที่ดี โดยพ่อแม่เจ้าของร้านชำ ลงทุนแปลงโฉม พ่อใส่สูท แม่ใส่ชุดสวย พ่อสะพายกล้องไปถ่ายรูปลูกแสดงดนตรี
เพลง FOUR SEASONS ที่รวมในวงออเคสตร้า ให้ความรู้สึกถึงฤดูกาลที่เปลี่ยนจากร้อน ฝน หนาว ทำให้ใจของคนเปลี่ยน ภาพของเด็กผู้ชายมารอกางร่มให้เพื่อนสาวคนสนิทยามสายฝนโปรย เป็นภาพงามที่แสดงถึงความรักอันบริสุทธิ์ต่อกัน
มีข้อติติงเล็ก ๆ คือ ฉากที่พระเอกและนางเอกกินข้าวด้วยกัน ๒ คน แต่ไม่ใช้ช้อนกลาง ทั้งยังเอาช้อนของตนตักอาหารให้เพื่อนกินอีก น่าจะให้ความรู้เรื่องการป้องกันโรคติดต่อ โดยใช้ช้อนกลาง มิใช่เป็นแค่วัยรุ่น เพื่อนรักกัน แล้วโรคจะไม่ติดต่อถึงกัน
ดูหนังจบดารามาถ่ายรูปกับผู้ชมที่เป็นปลื้ม ลูกหว้าได้ถ่ายกับพระเอก ๒ นางเอก ผู้กำกับ และครูญี่ปุ่นด้วย ปลื้มจัง !!!
ขอบคุณ คุณเก้ง คุณต่าย และลูกชายที่ช่วยเพิ่มเติมและตรวจสอบข้อมูลให้ ขอให้พ่อ แม่ ลูก และวัยรุ่นไปเติมความสุขในชีวิตกับหนัง SEASONS CHANGE เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย กันมาก ๆ นะคะ ผู้สร้างจะได้มีกำลังใจสร้างหนังรักดี ๆให้ชมกันมาก ๆ การเมืองไทยจะโปร่งใส เป็นธรรม ถ้าสร้างความดี ความงาม ความจริง ให้ลูกหลานของเรา เมื่อเขายังเยาว์วัยค่ะ