Skip to main content

ทำไมใครๆ ไม่อยากเป็นเอดส์

คอลัมน์/ชุมชน

ผู้เขียนได้สนทนากับเพื่อนคนหนึ่งที่ร่ำเรียนมาทางด้านแพทย์ศาสตร์ และทำงานอยู่ในแวดวงงานสุขภาพ จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า เขากลัวตัวเองจะเป็นโรคเอดส์กับซิฟิลิสมากที่สุด มากกว่าโรคร้ายชนิดอื่นๆ เช่นมะเร็งเสียอีก


 


เลยถามต่อว่าทำไมถึงคิดเช่นนั้น เขาบอกว่า  "อ้าว ก็โรคพวกนี้มันเป็นโรคทางสังคมนะสิ ลองว่าเป็นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็มักจะถูกสังคมประณามเมื่อนั้น"


 


เลยต้องมานั่งอึ้งกับคำตอบที่ได้รับว่ามันช่างชัดแจ้งอะไรเสียอย่างนั้น  เพราะคนที่เป็นโรคอื่นๆ เช่น มะเร็ง ไต แม้แต่ตับแข็ง หรือถุงลมโป่งพอง ก็ยังไม่ถูกสังคมประณาม      เหมือนกับคนที่เป็นโรคเอดส์ โรคซิฟิลิส


 


เพราะอะไร "โรคเอดส์" มันจึงกลายเป็นโรคทางสังคมที่น่ากลัวยิ่งไปกว่าโรคทางการแพทย์ไปเสียอย่างนั้น


 


คำตอบพื้นๆ ที่สุดก็เพราะมันเป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นสาเหตุต้นๆ  มันจึงเกี่ยวข้องกับเรื่อง "เพศ" และ "ความสัมพันธ์ทางเพศ" ของคนๆ นั้นอย่างไรล่ะคะ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องส่วนตัวที่ใครไม่อยากให้คนอื่นมารู้เห็น พอเรื่องอะไรที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ สังคมก็เลยใคร่อยากรู้มากกว่าเรื่องอื่นไปเสียอย่างนั้น แต่ยังไม่หยุดทำงานอยู่แค่นั้น เพราะเมื่อรู้แล้วก็มักจะเอามาตรฐานทางสังคมมาตัดสินพฤติกรรมนั้นว่า ดี หรือ ไม่ดี ผสมโรงเข้าไปอีก และหนึ่งในมาตรฐานทางสังคมนั้น ก็ดูจากเรื่อง "เพศ" ว่าไปสัมพันธ์กับใครคนใด และเพื่อเหตุผลใด  อีกนั่นแหละค่ะ


 


เพราะเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องของ บาป ในการอธิบายตามหลักศาสนา แต่มันจะได้รับการยกเว้นบาปนั้น เมื่อเพศสัมพันธ์นั้นมีขึ้นเพื่อเป้าหมายของการมีลูก และต้องผ่านการทำพิธีแต่งงานและรับรองความศักดิ์สิทธิ์ด้วยพิธีกรรมทางศาสนาแล้วเท่านั้น อีกนัยหนึ่งมันคือขั้นตอนของการสถาปนา "สถาบันครอบครัว" ที่ต้องประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก เท่านั้นจึงจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ส่วนพวกที่มีเพศสัมพันธ์ไม่อยู่ในกรอบการยอมรับจากสังคมดังที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มคนรักเพศเดียวกัน ทั้งหญิงรักหญิง ชายรักชาย หรือแม้แต่คู่ต่างเพศที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีพันธะผูกพัน (casual sex) เซ็กส์เพื่อการค้า ล้วนถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีความชอบธรรมในการมีเพศสัมพันธ์ และเพศสัมพันธ์นั้นย่อมนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวี/เอดส์มากที่สุด


 


แต่ความจริงที่สังคมรับรู้อยู่ตลอดเวลาว่ามีผู้หญิงจำนวนมากที่รับเชื้อมาจากสามีหรือคู่รัก ทั้งที่รักเดียวใจเดียวมาตลอด หรือมีเด็กจำนวนหนึ่งที่รับเชื้อเอชไอวีมาจากพ่อแม่ตั้งแต่เกิด  เอดส์มันกลายเป็นเรื่องภายในครอบครัว แทนที่จะเป็นเรื่องของกลุ่มเสี่ยงเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว !


 


เนื่องจากเพศสัมพันธ์ถูกโยงไปกับความเชื่อเรื่อง "บาป" ดังนั้น ใครที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่อยู่ภายใต้กรอบของสถาบันครอบครัวและสถาบันศาสนา คนๆนั้นจึงไม่ถูกยอมรับจากสังคม และถูก "ตราบาป" จากสังคมว่าเป็นคนที่มีความประพฤติทางเพศไม่ดี เป็นคนบกพร่องในศีลธรรม และของแถมพ่วงตามมาหลังจากนั้น คุณก็จะถูก "เลือกปฏิบัติ" จากสังคมเป็นพิเศษตั้งแต่ ติดเชื้อแล้วห้ามมีเพศสัมพันธ์ ห้ามแต่งงานใหม่ ห้ามมีลูกใหม่ ห้ามกินเหล้า ห้ามสูบบุหรี่ (ห้ามหายใจได้ยิ่งดีไปใหญ่) ห้ามเข้ามาทำงานในบริษัทฉัน ห้ามมาซื้อประกันสุขภาพของบริษัทเดี๊ยน


 


ฉะนั้น คุณต้องบอกผลเลือดให้คนอื่นรู้ว่าคุณติดหรือไม่ติดเชื้อ เพื่อเหตุผลว่าเมื่อรู้ว่าใครติดเชื้อแล้วสังคมจะได้เลือกปฏิบัติให้ถูกคนอย่างไรล่ะ นี่ถ้าบังคับให้คนที่รู้ตัวว่าเป็นเอดส์ทำป้ายแขวนคอ หรือระบุผลเลือดไว้ในบัตรประชาชนได้ คงจะเป็นที่ถูกอกถูกใจของบ้านนี้เมืองนี้


 


ยิ่งไปกว่านั้นสังคมยังให้เหตุผลของการเรียกร้องให้ผู้ติดเชื้อห้ามทำนู่นทำนี่เต็มไปหมด รวมทั้งการให้ผู้ติดเชื้อต้องเป็นผู้รับผิดชอบสังคมในโทษฐานที่เป็นตัวการของการถ่ายทอดเชื้อไปสู่ผู้อื่น ว่าเป็นเรื่องที่ทำในนามความหวังดีต่อสุขภาพของพวกเขาเองและเพื่อคนอื่นในสังคมทั้งนั้น ใครที่อธิบายแบบนี้ทำให้ยิ่งดูเป็นคนดีมีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงส่ง หารู้ไม่ว่าคุณกำลังละเมิดสิทธิของความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้ "เนียน" เสียจนแทบไม่รู้ตัว  


 


ถามจริงๆ เถอะ จำเป็นด้วยหรือที่ต้องให้ผู้ติดเชื้อต้องรับภาระในการรับผิดชอบสังคมทั้งหมด เพราะทุกคนก็มีหน้าที่ที่จะต้องตระหนักและป้องกันตนเองให้พ้นจากการรับเชื้อกันทุกคนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ทุกวันนี้ก็มีทั้งคนที่รู้และไม่รู้ว่าตัวเองมีเชื้อเอชไอวี และการจะไปบังคับให้ใครต้องไปตรวจเลือดและบอกผลเลือดโดยไม่พิจารณาถึงความสมัครใจและเงื่อนไขทางสังคมแต่ละคน (สังคมก็ขยันสร้างเงื่อนไขให้ผู้ติดเชื้อเสียเยอะแยะจริงๆ) มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ประเทศที่มีประสบการณ์ทำงานเอดส์ผ่านมาถึงยี่สิบกว่าปีเขาจะกลับไปทำกันอีกล่ะมังเคอะ เพราะรู้แล้วว่าจะเกิดผลดีหรือผลเสียตามมามากกว่ากัน


 


เอดส์ ยังเป็นเรื่องของการแบ่งชนชั้นทางสังคม คนที่มีการศึกษาสูง มีอาชีพการงานที่มั่นคงและมีฐานะทางเศรษฐกิจดี ซึ่งสังคมมักจัดให้อยู่ในชนชั้นกลางไปจนถึงชนชั้นสูง สังคมได้พยายามทำให้เชื่อว่าคนในชนชั้นเหล่านี้ไม่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพราะมีการศึกษาดี เข้าถึงข้อมูลได้มากกว่า และที่สำคัญคุณสมบัติของคนชนชั้นนี้สังคมให้ค่าว่าเป็นผู้มีศีลธรรมทางเพศสูงส่ง ศีลธรรมทางเพศได้กลายเป็นกลไกในการยกระดับชนชั้นให้ได้รับการนับหน้าถือตาในสังคม


 


ฉะนั้น เอดส์จึงถูกมองว่าเป็นเรื่องของคนชนชั้นล่างเป็นเรื่องของ กรรมกร พวกคนหาเช้ากินค่ำ ที่มีความสุขหฤหรรษ์จากการเอากันอย่างไม่มีแบบมีแผน  


 


แต่ความจริงสังคมก็รับรู้มาตลอดว่ามีคนหลากหลายอาชีพและมาจากหลากหลายชนชั้นทั้งข้าราชการ แพทย์ ตำรวจนักการเมือง นักศึกษา เอ็นจีโอ คนใช้แรงงาน ฯลฯ ที่ได้รับเชื้อเอชไอวีเพียงเพราะพวกเขามีเพศสัมพันธ์โดย "ไม่ป้องกัน"


 


ที่เราเห็นว่ามีแต่ชาวบ้านร้านตลาด คนในวัยแรงงาน ที่ออกมาเปิดเผยสถานะการติดเชื้อของตนเอง ก็เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่นอีก เพราะมันถูกกำหนดให้เป็นเงื่อนไขในการเข้าถึงบริการสุขภาพและยารักษาโรค พวกเขาจะมีปัญญาหาเงินมาจ่ายค่ายาเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่าพันไปได้ตลอดชีวิตหรือ ส่วนคนที่มีกะตังค์ เขาก็เลือกที่จะแอบซื้อยากินเองโดยไม่จำเป็นต้องออกมาโพนทะนาให้สังคมรู้


 


เอดส์ คงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ของสังคม ตราบใดที่เราไม่ได้ไปลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือไปลดทอนอำนาจในการเข้าถึงทรัพยากรของผู้ติดเชื้อให้มีสิทธิมีเสียงน้อยกว่าคนอื่นๆ ในสังคม


 


ทั้งๆ ที่ใครก็รู้ว่าทุกวันนี้มียาที่ช่วยยืดอายุของผู้ติดเชื้อให้มีชีวิตยาวนานออกไปมากขึ้น มียาป้องกันการถ่ายทอดเชื้อจากพ่อแม่สู่ลูก มีถุงยางอนามัยป้องกันการรับเชื้อเอดส์ และในอนาคตข้างหน้าเราอาจจะได้รับข่าวดีเรื่องวัคซีนป้องกันเอดส์ หรือสารลดการติดเชื้อในช่องคลอด (Microbicide) แต่พูดไปทำไมมี เพราะโรคนี้มันเป็นโรคทางสังคม ที่ยากจะเยียวยาได้ด้วยวัคซีนหรือสูตรยาราคาแพงเพียงเท่านั้น


 


ใครๆ ก็ไม่อยากเป็นเอดส์ ก็ด้วยเหตุผลประการฉะนี้แล