Skip to main content

แหล่งน้ำจืดของไทยมีออกซิเจนต่ำที่สุดในโลก !

คอลัมน์/ชุมชน

ในขณะที่คนไทยเรากำลังสนใจอยู่กับข่าวการลอบวางระเบิดผู้นำประเทศ ซึ่งผู้สันทัดกรณีทั้งหลายต่างตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของบุคคลที่ใกล้ชิดผู้นำเอง  ผมขอนำข้อมูลแหวกออกไปจากเรื่องดังกล่าว ซึ่งท่านผู้อ่านอาจจะตกอกตกใจไม่แพ้กันกับข่าวการวางระเบิดก็เป็นได้


 


จุดสนใจที่ทำให้ผมต้องจับเรื่องนี้มาเล่าท่านผู้อ่านทั้งหลายในเวลานี้ ก็มาจากข่าวหนังสือพิมพ์ข่าวสด (29 สิงหาคม) ที่พูดถึงน้ำเสียในคลองอู่ตะเภาซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ชาวสงขลาครึ่งจังหวัดใช้ทำน้ำประปา


 


จากนั้นผมจะเชื่อมโยงให้เห็นภาพทั้งประเทศ เพื่อแสดงว่าเหตุการณ์น้ำเสียที่สงขลาไม่ใช่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่เป็นปรากฏการณ์ทั่วไปของประเทศไทยเรามานานแล้ว ตั้งแต่ยุคที่เราอยากจะเป็น "นิคส์" (NICS) ที่มีคนมาล้อว่า "นรกอิสคัมมิ่งซูน"   เมื่อประมาณปี   2530 เป็นต้นมา


 


การเชื่อมโยงให้เห็นภาพดังกล่าวจะชัดเจนมากขึ้นเมื่อมีการเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกขององค์กรระดับสากล  เราเริ่มกันที่ข่าวของหนังสือพิมพ์ข่าวสดก่อนนะครับ  เนื้อข่าวตอนหนึ่งกล่าวว่า


 


"ในละแวกนี้มีโรงงานผลิตน้ำยางข้น 4 แห่ง โรงงานผลิตอิฐบล็อก 1 แห่ง  ส่วนใหญ่มักจะแอบปล่อยน้ำเสียลงในคลองในเวลากลางคืน ในขณะที่ช่วงกลางวันของบางวันก็มีการลักลอบปล่อยน้ำเสียลงคลองเช่นกัน แต่จะปล่อยออกมาในปริมาณที่น้อยกว่าช่วงกลางคืน ซึ่งที่ผ่านมาเมื่อมีปลาตาย ชาวบ้านได้เก็บตัวอย่างของน้ำในคลอง ตรงจุดที่มีปลาตาย  ส่งให้ทางนักวิชาการของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  (มอ.) ตรวจสอบทุกครั้ง และผลตรวจสอบพบว่า มีสารตะกั่วทุกครั้งเช่นกัน"


 


ข่าวกล่าวต่อไปว่า "ในเดือนสิงหาคมนี้ มีปลาตายลอยเกลื่อนคลองเป็นครั้งที่สี่แล้ว
และทุกครั้งก็ได้ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เข้ามาช่วยเหลือหรือจัดการแก้ไข แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าและดีขึ้น"


 


ในลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ก็มีกลุ่มของพลเมือง เช่น กลุ่มรักษ์คลองอู่ตะเภา กลุ่มธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลา ตลอดจนกลุ่มของนักเรียนโรงเรียนต่างๆ ได้ติดตามดูแลคลองสายนี้มาหลายปีแล้ว ได้พบเหตุการณ์ปลาตายเป็นแพต่อหน้าต่อตาก็หลายครั้ง ทุกปี แต่ทุกครั้งก็ไม่มีอะไรดีขึ้น  คนในเมืองสงขลาที่บริโภคน้ำประปาจากคลองนี้ก็ยังไม่ตื่นตัวมากพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ (ยังไม่ถึง tipping point) สื่อที่จะใช้ก็ไม่มี ที่มีบ้างก็ถูกกลุ่มทุนยึดไปแล้ว


 


ครั้นจะหันไปพึ่งส่วนราชการ ก็เหมือนกับที่ชาวบ้านในข่าวบอก


 


ความจริงแล้วรากเหง้าของความยากจนของชาวบ้าน นอกจากจะอยู่ที่การที่ชาวบ้านไม่สามารถเข้าถึงแหล่งพลังงาน (ตามที่ผมพยายามเน้นมาตลอด) แล้ว ยังอยู่ที่แหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำถูกทำลายอีกด้วย


 


ผมเคยเดินธรรมยาตรารอบทะเลสาบสงขลาตามหลังพระสงฆ์หลายครั้ง สังเกตเห็นว่า อาหารที่ชาวบ้านนำมาถวายพระนั้น แทบจะไม่มีสัตว์น้ำจืดเลย  ทั้งๆที่เส้นทางที่เดินเป็นแหล่งน้ำจืดที่เคยอุดมสมบูรณ์มากเมื่อหลายปีก่อน  แต่ปัจจุบันชาวบ้านต้องซื้อปลาทะเลมาบริโภค


 


นี่แหละครับคือต้นเหตุของความยากจนที่รัฐบาลทักษิณไม่เคยกล่าวถึงเลย มีแต่จะนำเงินไปแยกๆ ลูกเดียว


 


กลับมาที่แหล่งข้อมูลที่ผมนำมาตั้งชื่อบทความนี้บ้างครับ ผมได้ข้อมูลมาจากเว็บไซต์ที่ชื่อว่า http://www.nationmaster.com  (ท่านที่สนใจ กรุณาค้นลึกเข้าไปแผนกสิ่งแวดล้อม แล้วค้นเรื่องออกซิเจนที่ละลายในน้ำ dissolved oxygen) ข้อมูลที่เขานำมาอ้างมาจากสหประชาชาติ (UNEP) ซึ่งเป็นการสำรวจในช่วง 1994-1996 จาก 141 ประเทศทั่วโลก


 


ผลปรากฏว่า  แหล่งน้ำจืดของประเทศไทยเรา มีปริมาณออกซิเจนต่ำที่สุดในโลก ปริมาณออกซิเจนต่ำแปลว่าอะไรครับ


 


แปลว่าสัตว์น้ำไม่สามารถอยู่อาศัยได้ เพราะสัตว์น้ำก็ใช้ออกซิเจนหายใจเช่นเดียวกับคนเรา ค่าเฉลี่ยของปริมาณออกซิเจนในแหล่งน้ำจืดของไทย 25 ลุ่มน้ำเท่ากับ 2.98 มิลลิกรัมต่อลิตร


 


คนที่เคยเลี้ยงกุ้งจะทราบดีว่า  ถ้าระดับออกซิเจนมีแค่นี้กุ้งตายหมดแล้ว


 


ผมเคยตรวจสอบข้อมูลนี้กับข้อมูลของหน่วยราชการไทยในบางแห่งของทะเลสาบสงขลาก็พบว่าเป็นความจริง


 


ผมเคยค้นเข้าไปในลุ่มน้ำปากพนัง พบว่าหลายแห่งและในหลายเดือนน้ำมีค่าออกซิเจนเป็นศูนย์เลยครับ ที่เป็นเช่นนี้เพราะการปิดกั้นการไหลของน้ำจากโครงการประตูระบายน้ำ


 


ภาพต่อไปนี้ผมนำรายชื่อของประเทศที่มีออกซิเจนละลายในน้ำต่ำสุดและสูงสุดมาลงให้ดู  ภาพบนเป็นกลุ่มประเทศบ๊วย เราอยู่ต่ำสุดครับ ต่ำกว่าอินโดนีเซียอีก  ส่วนภาพล่างเป็นกลุ่มประเทศท๊อป ซึ่งสะท้อนคุณภาพชีวิตของคนประเทศนั้นได้ดี


 


แล้วข้อมูลนี้ได้สะท้อนเรื่องอื่นๆด้วย ลองคิดดูดีๆ ซิครับ


 



 



 


ผมคิดว่าปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่มากๆ เพราะนอกจากจะเกี่ยวข้องกับความยากจนของคนในชนบทแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพของคนเมืองที่ถูกปิดหูปิดตาไม่ให้มีโอกาสได้รับรู้ความจริงที่เกี่ยวกับตนเอง


 


แต่ถูกเบนเรื่องให้ไปสนใจข่าวการลอบสังหารผู้นำ หรือแม้แต่การหย่อนบัตรเลือกตั้งที่ท่านผู้นำเน้นหนักเน้นหนาเพียงอย่างเดียว


 


คิดแล้วมันน่าเศร้าจริงโว้ย คนไทยเรา จงมาร่วมกันเปลี่ยนความเศร้านี้ให้เป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงได้ไหม? พี่น้อง