จากสายน้ำวางที่วางตัวสู่ชีวิตอันยั่งยืน
คอลัมน์/ชุมชน
ธารรพี ชมพูพร/ เรื่อง
วัชระ สุขปาน/รูปประกอบ
เวิ้งอ่าวของลุ่มน้ำวาง ดินแดนต่อเนื่องไปทางทิศตะวันตกของอำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ถึงตำบลบ้านกาด อำเภอแม่วาง ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทำสวนลำไย ทำนาข้าว พื้นที่ราบกว้างใหญ่ ที่นี่ยังเป็นแหล่งปลูกหอมแดง หอมหัวใหญ่ ที่ป้อนผลผลิตมหาศาล สู่ตลาดภาคเหนือและตลาดภาคกลาง ก่อนถูกกระจายไปเลี้ยงคนทั่วประเทศ โดยมีสายน้ำแม่วางไหลหล่อเลี้ยงทั้งลุ่มน้ำ
เดินทางเลียบน้ำแม่วางขึ้นไป ระหว่างอ่าวภูเขา ตามถนนสายแม่วาง บ้านแม่แฮเหนือ กิโลเมตรที่ 16-31เราก็จะได้พบกับสายน้ำ แม่วิน ที่บ้านสบวิน ห้วยโป่ง บ้านแม่มูต บ้านแม่สะป๊อก ซึ่งในปัจจุบัน ธุรกิจขี่ช้าง ล่องแพ เดินป่า กำลังบูมขึ้นเรื่อยๆ เฉลี่ยนักท่องเที่ยวประมาณ 500 คน ต่อวัน ผ่านขึ้นไปบริเวณต้นน้ำหรือลุ่มน้ำวางตอนบน เป็นหมู่บ้านของพี่น้องชนเผ่า ประกอบด้วย พี่น้องชนเผ่าม้ง และปกาเกอญอ จำนวน 16 หมู่บ้าน แยกเป็น 46 หย่อมบ้าน
พะตี่จอนิ โอ่โดเชา ปราชญ์ชาวบ้านลุ่มน้ำวาง และอดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเล่าว่า ในสมัยก่อนเมื่อประมาณ 200 กว่าปี ปู่ย่าตายายเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่ตำบลแม่วิน ที่น้ำแม่วินไหลผ่านตรงนั้น เรียกว่าบ้านสบวิน เป็นถิ่นอาศัยของคนเมืองพื้นราบ พูดภาษาคำเมือง คนล๊วะ คนญางหรือชาวปกากะญอ ต่อมาพี่น้องชาวล๊วะก็เริ่มขยาย บางส่วนผสมกลมกลืนกับคนเมืองพื้นราบ และมีล๊วะอีกกลุ่มหนึ่ง ที่อพยบขึ้นไปบนดอยสูง ตามหลักฐานที่ปรากฏวัดเก่า และกระดูกของบรรพชนชาวล๊วะหลายแห่ง หลังจากนั้นชาวญาง หรือปกาเกอญอก็เข้ามาอยู่ต่อ และมีความผูกพันกันเหนียวแน่นกับพี่น้องทุกกลุ่มชาติพันธุ์ในลุ่มน้ำวาง ระหว่างคนพื้นราบกับบนดอยก็ดี ช่วงที่มีการทำนามีการยืมวัว ยืมควายกันไถนา ควายบนดอยตัวใหญ่ ขยันและแข็งแรง เป็นที่ร่ำลือ ต่อมาก็มีการสืบเสาะหา บอกต่อกันไป พ่ออุ่น ศรีวิชัย ปราชญ์ผู้รู้แห่งสภาวัฒนธรรมอำเภอแม่วาง เป็นคนหนึ่งที่ได้พึ่งพา พบปะกับพี่น้องบนดอยมาตลอดเล่าว่า
"ไปพักค้างคืนกันได้ เป็นพี่น้องกัน สมัยก่อนต้องเดินเท้าอย่างเดียว พี่น้องบนดอยมาซื้อของในเมืองก็แวะหากัน คนเมืองพื้นราบก็ไปหาเห็ด หน่อไม้บนดอยทุกปี คุ้นหน้าคุ้นตากันดี"
ปัจจุบันชาวบ้านในลุ่มน้ำวางมีการรวมตัวก่อรูปเป็นเครือข่ายลุ่มน้ำอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากการใช้ทรัพยากรร่วมกันเช่น หาของป่า ขุดหน่อไม้ และใช้สายน้ำเดียวกัน
ระหว่างการเดินทางของสายน้ำเหนือระดับน้ำทะเล 700 เมตรขึ้นไป มีเหมืองฝายชุมชนปกาเกอญอกั้นอยู่ 11 ลูก และมีชุมชนพื้นราบ รอรับน้ำมากกว่า 65 ชุมชน ลำห้วยกว่า100 สาย ที่เป็นสาขาของน้ำวาง ประกอบด้วย น้ำขุนป๋วย น้ำแม่วางขวา น้ำแม่วางซ้าย น้ำแม่สะป๊อก น้ำแม่เตียน น้ำแม่มูต น้ำแม่วินไหลลงน้ำสบวางอำเภอสันป่าตอง ไหลลงแม่น้ำปิงที่บ้านสบขาน ตำบลสองแคว เขตท้องที่ กิ่งอำเภอดอยหล่อ สิ่งเหล่านี้บ่งบอกได้ว่า ผู้คนแถบนี้ได้ผ่านประวัติศาสตร์ชุมชนลุ่มน้ำร่วมกันมาอย่างยาวนาน
กิจกรรมในลุ่มน้ำ
ปัจจุบันมีโครงการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของการเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเสี่ยว หรือความเป็นเพื่อนกัน ความรู้สึกของการเป็นคนท้องถิ่นร่วมกัน เพื่อรับรู้สถานการณ์ในลุ่มน้ำวางตอนบน และตอนล่าง กิจกรรมการรื้อฟื้นประเพณีดั้งเดิม โดยมีคนเชื่อม 3 ระดับ อาทิ กลุ่มคนเฒ่า คนแก่ พ่อบ้าน แม่บ้าน พ่อครู แม่ครู กลุ่มเยาวชน โดยใช้ความรู้ ประสบการณ์ ประเพณีพิธีกรรมในท้องถิ่นเป็นเครื่องมือดั้งเดิมที่เคยใช้ต่อกันมา นอกจากนั้นยังมีเวทีพบปะกันพาคนข้างบน- ล่าง พื้นราบศึกษาดูงาน พยามให้กลไกท้องถิ่นทำงานขับเคลื่อนไปอย่างช้าๆ เช่น พระ คริสต์จักร ครู โรงเรียน เครือข่าย สภาวัฒนธรรม ข้าราชการ และองค์กรสถาบันต่างๆจะมาร่วมงานกิจกรรมกันอย่างต่อเนื่องเช่น งานทำบุญ บวชป่า เลี้ยงผี สืบชะตาแม่น้ำ ประเพณีกินข้าวก๋ำ ค่ายเยาวชน งานสัญจร โดยมี สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นองค์กรภาคเอกชนที่ช่วยประสานงานหนุนเสริมกิจกรรม
การต่อสู้เรื่องสิทธิชุมชน
ลุ่มน้ำวางตอนบนซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง ปัจจุบันอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วางและเขตอุทยานแห่งชาติออบขาน มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ กับธุรกิจการท่องเที่ยวและมีความสวยงาม อีกทั้งยังเป็นสถานที่อยู่อาศัยของชาวบ้านและที่ทำมาหากินดั้งเดิม
พะตีจอนิ โอ่โดเชา เล่าว่า "ชาวบ้านในเขตต้นน้ำ เริ่มลุกขึ้นมาคุยกันถึงเรื่องสถานการณ์ของชุมชนตั้งแต่ปี 2532 ต่อมาเมื่อปี 2540 ชาวบ้านในเขตลุ่มน้ำวางตอนบน จำนวน 46 หย่อมบ้าน เข้าร่วมชุมนุมต่อสู้เรียกร้องต่อรัฐบาลกรณีป่าไม้ที่ดิน การประกาศเขตป่าทับที่ทำกิน หลังจากที่ต่อสู้มาแล้วรวมถึงวันนี้ย่างเข้าสู่ปีที่ 14 แล้ว ทั้งยื่น 50,000 รายชื่อ ตามกติกาการเมือง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เสนอต่อรัฐสภา แต่ยังไม่มีความคืบหน้า แถมพวกเรายังได้วีรบุรุษ ที่ต่อสู้เพื่อคนอยู่กับป่า อย่าง พะตี่ปูนุ ดอกจิมู ที่เดินทางกลับมาจากชุมนุมรียกร้องหน้าทำเนียบ เกิดการน้อยใจอย่างมากที่ทางการไม่แก้ไขปัญหาให้เป็นธรรม แถมยังมีแผนอบพยบชาวบ้านที่อยู่ในเขตลุ่มน้ำชั้น 1A ออกมาให้หมดด้วย พะตี่ปูนุจึงตัดสินใจกระโดรถไฟ เสียชีวิตที่จังหวัดลำปาง นักต่อสู้ท่านนี้ก็เป็นคนลุ่มน้ำวางบ้านเรา "
"การต่อสู้เพื่อพระราชบัญญัติป่าชุมชน มันยาวนานมากและเราก็ต้องทำความเข้าใจกันกับสังคม กับเพื่อน พี่น้องในสังคม มันเหมือนกับเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ของคนแม่วางที่มีหนุ่มคนเมืองพื้นราบ บ้านอยู่ที่บ้านแม่วินข้างล่าง ชื่ออ้ายคำกับหนุ่มปกาเกอญอที่บ้านอยู่บนดอยชื่อว่าอ้ายโอ ทั้งสองหลงรักหญิงสาวชาวดอยคนเดียวกัน
จะทำอย่างไรดี เพราะอ้ายคำกับอ้ายโอก็เป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสองเลยมาหารือกันท่ามกลางสุรามิตรและหญิงสาวนางนั้น สหายทั้งสองตั้งกติกาว่า เราสองคนมาร้องเพลงแข่งขันกันใครร้องเพลงเกี้ยวพาราสีเก่งกว่า ก็จะได้หญิงงามนางนั้นไปเป็นคู่ครองเรือน ฝ่ายอ้ายคำ ผู้มีดีกรีฐานะเป็นนักเลงกลอนพื้นเมืองแบบทางเหนืออยู่แล้ว อ้ายคำก็ร่ายเพลงไพเราะ เสนาะหู บรรยายถึงธรรมชาติที่สวยงาม ป่าไม้ แม่น้ำ งดงามเหมือนหญิงสาวนางนี้ จบเพลงคราวนี้เป็นทีของอ้ายโอที่ไม่ค่อยรู้หนังสือ เพราะไม่เคยเข้าเรียนในระบบ เข้าเมืองหูตาก็ไม่ว่องไว
เคยไปซื้อปลาทูในตลาดสดครั้งหนึ่ง อ้ายโอถามแม่ค้าว่า "ปลาทูนี่กิโลทำไม ? อันที่จริงเขาจะถามว่าปลาทูนี้กิโลละเท่าไหร่?"
อ้ายโออึดอัดลำบากใจ ที่ต้องมาต่อกรกับเพื่อนรักอย่างอ้ายคำ ไม่รู้ว่าจะร้องเพลงอย่างไร ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องของเวรกรรม ว่าแล้วอ้ายโอก็ขึ้นเพลงของเขามา
"อ้ายคำเหอ อ้ายโอกับอ้ายคำปาโธ้ ไม่มึงก็กูปาโธ้ อ้ายโอกับอ้ายคำ ไม่กูก็มึงปาโธ้ อ้ายคำกับอ้ายโอ "
สิ้นเสียงเอื้อนเอ่ยพรรณนา เป็นอันว่า อ้ายโอ หนุ่มหน้ามนคนดอยได้หญิงงามนางนั้นไปครองเรือน เพราะความซื่อใส จริงใจ อ้ายคำยินยอม และหญิงงามประจำดอยนางนั้นก็เห็นใจอ้ายโอ ไม่รู้ว่ามันจะร้องเพลงว่าอย่างไรดี ก็มีกันแค่สองคน ที่เป็นเพื่อนรักกันแล้วยังต้องตัดสินชัยชนะกัน
ก็เหมือนกับ พ.ร.บ.ป่าชุมชนของเราที่เสนอไป แล้วมีกลุ่มต่างๆ ในสังคม มาคัดค้านไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาบางอย่าง ของพ.ร.บ.ป่าชุมชน ทั้งที่ต่างฝ่ายต่างหวังให้ป่าไม้เมืองไทยดำรงอยู่อย่างยั่งยืน เขาอาจไม่วางใจในแนวทางหรือวิธีการบางอย่างที่เราทำ แต่เราก็ต้องทำความเข้าใจ นำภูมิปัญญา ประเพณี องค์ความรู้ที่เรามี ดูแลจัดการทรัพยากรของเรา และของโลก ให้เขาเชื่อมั่นในตัวตนของเรา สุดท้ายเขาก็เห็นว่าเรายืนหยัดทำจริงและเข้ามาสนับสนุนกับเราอย่างเหนียวแน่นเอง"
พะตี่จอนิ โอ่โดเชา สรุปปิดท้ายเรื่องอย่างลงตัว.