Skip to main content

ไม่เที่ยง

คอลัมน์/ชุมชน


            "ยามบุญมา กาไก่กลายเป็นหงส์ 


ยามบุญลง หงส์เป็นกาน่าฉงน


ยามบุญมา หมูหมากลายเป็นคน


ยามบุญหล่น คนเป็นหมาน่าอัศจรรย์"


 


"เมื่อมั่งมี มากมายมิตรหมายมอง


เมื่อมัวหมอง มิตรมองเหมือนหมูหมา                   


เมื่อไม่มี มวลมิตรไม่มองมา


เมื่อมอดม้วย แม้หมูหมาไม่มามอง"    


 


สองสามวันก่อนได้พบกับเพื่อนรุ่นพี่ที่รู้จักกันมาตั้งแต่ปลายปี 2525 หลังจากที่ได้พบกันครั้งสุดท้ายนับแต่ปี 2527 แต่ยังคุยกันเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้พบหน้ากัน  เป็นเพราะว่าต่างคนต่างยุ่งเพราะหน้าที่ในชีวิต แต่เราก็ไม่ได้เลิกคบกัน ต่างมีความประทับใจในนิสัยกันและกัน รุ่นพี่คนนี้แต่งงานแล้วหย่าไปหลายปีแล้ว ตอนนี้ลูกชายคนโตเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง ผู้เขียนได้พยายามจะเจอรุ่นพี่คนนี้มาหลายครั้ง แต่โดนบ่ายเบี่ยงตลอด จนมาคราวนี้ต้องพบให้ได้ แปลกใจว่าทำไมจึงพยายามหลบหน้าผู้เขียนตลอด


 


ในที่สุดก็พบว่าทำไม หลังจากที่บอกว่ามาเจอกันหน่อยเพราะที่ทำงานของผู้เขียนอยู่ใกล้กับไซท์ทำงานที่พี่คนนี้รับงานในขณะนี้ (เธอรับเหมางาน)  ผู้เขียนบอกว่าไม่ได้แล้ว ไม่งั้นก็ไม่ได้เจอ  เอาเป็นว่าใช้ความเด็ดขาดบอกว่า "พี่ นี่เราไม่ได้เจอกัน 22 ปีกว่าแล้วนะ มาเจอกันหน่อย แล้วถ้ามีเวลาหลังจากวันนี้ค่อยนัดทานข้าวกัน" เธอจึงยอมมาพบที่กลางทางระหว่างกลับบ้านของผู้เขียนในบ่ายแก่ๆ วันนั้น


 


เมื่อผู้เขียนเห็นรุ่นพี่คนนี้ขี่มอเตอร์ไซค์มาที่จุดนัดพบ นึกถึงเมื่อ 22 ปีก่อนที่พี่คนนี้ขับรถเครื่องนี่แหละมาหาผู้เขียนเพื่อไปพัทยาด้วยกัน ในวันตรุษจีน ปี 2527 (ผู้เขียนขับรถไปเรียนตั้งแต่ปีหนึ่ง แล้วก็ไปเที่ยวพัทยาบ่อยๆ ตอนนั้น) เป็นการออกเดทจริงๆ จังๆ  ถามว่าชอบอะไรในพี่คนนี้ บอกว่าชอบความใจถึง แล้วก็นักเลงในหลายจุด ส่วนเรื่องหน้าตานั้นบอกได้ว่า "หล่อ" แบบตี๋ๆ ใสๆ แบบที่คนสมัยนี้ชอบ เสียแต่ว่าตัวเตี้ยไปนิด แล้วก็บังเอิญเอ็นท์ไม่ติด ทั้งที่จบ ม.ศ.5 จากโรงเรียนชายชื่อดังแถวหัวลำโพง เอาเป็นว่าตอนนั้นคลิกกันพอควร


 


หลังจากนั้นเราก็เจอกันที่ธรรมศาสตร์อีกหนหนึ่งในปี 2527 แต่ผิวๆ เพราะว่าพี่คนนี้เค้าไปจีบรุ่นพี่ผู้หญิงที่คณะอีกหนแต่น่าเสียดายจีบไม่ติด ทั้งที่พยายามมากแล้วก็ตาม ผู้เขียนก็เฉยๆ เพราะตอนนั้นก็มีแฟนใหม่อีกคนหนึ่งอยู่ แต่เราก็ไม่ได้ทะเลาะกัน โทฯคุยกันเป็นระยะ  แม้กระทั่งผู้เขียนอยู่อเมริกาก็ยังโทฯมาคุยบ้าง เอาเป็นว่าไม่ทอดทิ้งกัน มองเป็นเพื่อนเก่ากันมากกว่า


 


ขอตัดภาพแว้บมาที่การเจอกันครั้งล่าสุด  เมื่อพี่คนนี้ถอดหมวกกันน็อคออกมา แล้วเดินมาที่รถ ผู้เขียนแทบช็อค ความใสนั้นไม่เหลือเลยแม้แต่น้อย ฟันฟางเละเทะ มอมแมมไปทั้งตัวเพราะต้องทำงานสนาม ภาพพี่คนนี้เมื่อคราวโน้นมาทับรอยอย่างไรก็ไม่ติด แววตาของรุ่นพี่คนนั้นมองผู้เขียนอย่างชื่นชม บอกว่าผู้เขียนดูภูมิฐานมาก แล้วก็จับพุงเล่นแบบเอ็นดู ผู้เขียนสงสารจับใจ บอกว่า "พี่ไปทำอะไรมา ทำไมถึงปล่อยตัวแบบนี้ ไม่ถนอมตัวเลย" นับถือน้ำใจพี่คนนี้มากที่บอกอย่างตรงไปตรงมา บอกว่า "พี่ผ่านมรสุมมามาก" แต่เพราะว่าต่างคนต่างมีธุระต่อจากนี้ จึงบอกว่าแล้วพบกันใหม่ จากนั้นต่างคนต่างแยกย้าย ผู้เขียนคว้ามือถือโทฯไปหาเพื่อนรุ่นน้องที่ธรรมศาสตร์เพราะคิดว่าน้องคนนี้อาจเคยเห็นหน้าพี่คนนี้ เมื่อ 22 ปีที่แล้ว แต่ปรากฏว่าน้องคนนี้เข้าไม่ทันจึงไม่ได้เจอ จึงไม่ได้เม้าท์ระบายอารมณ์


 


อย่างไรก็ตาม ตลอดทาง กลับบ้าน ผู้เขียนนั่งทำใจมาตลอด ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอคนเก่าๆ ในชีวิตที่เคยผูกพันทางอารมณ์  แล้วมาตกต่ำจนไม่เหลืออะไรเลย  ดังนั้น วันนี้ (เสาร์) จึงโทฯไปบอกว่าต้องขอเจออีกหน มานั่งคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วผู้เขียนก็แย็บไปตรงๆ เลยว่า "ถ้าเราคบกันจริงจังมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วพี่ไม่เฉไฉ ก็จะไม่ปล่อยให้พี่เป็นแบบนี้" พี่คนนี้ตอบอย่างชัดเจนว่า "มันเป็นเพราะว่าพี่ตัดสินใจทุกอย่างเร็วไปหน่อย มันพังหมดทุกอย่าง แต่พี่ก็ต้องสู้ต่อไป" ผู้เขียนจึงบอกว่าเมื่อว่างเราควรเจอกันโดยเร็วที่สุด อย่างน้อยเผื่อจะทำอะไรให้มันดีขึ้นได้


 


เหตุการณ์ทุกอย่าง ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคำคมสองบทที่กล่าวถึงข้างบนนี้ มันเป็นจริงเสียเหลือเกิน  พลางบอกกับตนเองว่าจะประคองตนเองให้ดีที่สุด และจะพยายามช่วยพี่คนนี้ "ถ้าทำได้" เพื่อให้ออกจากสภาพนี้ให้เร็วที่สุด เพราะพี่คนนี้ไม่ใช่คนท้อถอยแต่ไม่มีใครอยู่เป็นคู่คิด แต่ที่หนักใจอีกเรื่องคือ พี่ติดเหล้าและติดบุหรี่ สูบหนักถึงวันละ 2 ซอง ถามใจตนเองว่าจะช่วยมั้ย ช่วยเพราะอะไร บอกได้ว่าช่วยเพราะเป็นเพื่อน  ไงๆ ซะ "ถ่านไฟเก่า" มันมอดไปแล้ว


 


ผู้เขียนยังมีเพื่อนอีกบางคนที่คบกันอยู่ เป็น "บุคคลสิ้นท่า" ในลักษณะคล้ายๆ แบบนี้ ไม่ได้หมายถึงว่าไม่มีจะกิน แต่ไม่ควรตกต่ำ เพราะทุกคนมีพื้นฐานมาดี จบโรงเรียนดีๆ จบมหาวิทยาลัยดีๆ แต่ไปไหนไม่รอดเพราะ "ใจร้อน" แล้วก็ใช้เงินมือเติบ อย่างไรก็ตาม คนพวกนี้มีนิสัยสปอร์ต รักพวกพ้อง แต่ที่เสียคือ ไม่มีจุดหมายในระยะยาว และไม่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อันนี้ป่วยการที่จะมาโทษกัน เอาเป็นว่าจะแก้กันต่อไปอย่างไร สังคมไทยไม่ได้ให้โอกาสบุคคลเหล่านี้ ยิ่งกรอบทุนนิยมหลังสมัยใหม่แบบนี้ ใครพลาดไม่ได้ ไม่มีใครมองยามดวงตก ไม่มีใครให้งานทำเมื่ออายุมากขึ้น


 


ในทางตรงกันข้าม ก็มีบุคคลอีกจำพวกที่ตักตวง สะสม และเต็มไปด้วยความกลัวอนาคต เหมือนจะยอมไม่ได้ หากสถานภาพของตนเองจะต้องเปลี่ยนไป การต่อสู้แข่งขันเป็นเรื่องปกติของกลุ่มนี้ ทุกคนต่างปกป้อง "พื้นที่" ของตนเอง อันนี้ไม่ได้จำกัดแค่งานราชการ บริษัท แต่แม้กระทั่ง เอ็นจีโอ เองก็ห้ำหั่นกันมากมาย เพราะ "เงิน" ตัวเดียว เดี๋ยวนี้ "เงิน" คือคำตอบของทุกอย่างเหมือนกับบทความที่ผู้เขียนเขียนไปเมื่อไม่นานมานี้ [1]            นับมาตั้งแต่ระดับนานาชาติ ลงมาถึงท้องถิ่น ตำบลหมู่บ้าน ใครๆ ก็อยากได้เงิน มีเงินเป็นตัวผลักดันในการกระทำทุกอย่าง ระบบศักดิ์ศรีเกียรติภูมิที่มาจากคุณงามความดี โดนแทนที่ด้วยระบบเงินตราไปหมดแล้ว ซึ่งน่าสะพรึงกลัวไม่น้อย เพราะมนุษย์เองก็โดนแทนค่าด้วยสิ่งที่ตนสร้างได้ทำได้ คนที่แพ้ก็จะต้องหลุดออกไปจากสารบบ ความเมตตาไม่มีเพราะว่าต้องแก่งแย่งกัน


 


หลายคนว่าหากจะแก้ไขให้โลกหมุนไปด้านอื่น คงเป็นไปไม่ได้ โลกทุนนิยมมี "ความกลัว" เป็นปัจจัยขับเคลื่อน ที่ทุกคนกลัวมากที่สุด คือ กลัวลำบาก ที่แท้ของคำว่า "ลำบาก" คือ "ความกลัวจน" ทั้งที่ลืมมองไปว่า ความจนนี้มันมาจากระบบเองต่างหาก ทำไมการจัดสรรทรัพยากรจึงไม่เท่าเทียม ไม่ยุติธรรม ทั้งที่ทุกคนมีสิทธิเป็นเจ้าของทรัพยากรในโลกนี้เท่ากัน แต่ทำไมบางคนจึงได้มากกว่า เพียงเพราะแค่ขยันเท่านั้นหรือ  ทั้งที่จริงๆ แล้วสังคมต่างหากที่จะหล่อหลอมให้คนขยัน-ขี้เกียจ หรือ กลัวจน-ไม่กลัวจน หลายครั้งที่ผู้เขียนบอกว่าให้คนขยัน  แต่นั่นก็ไม่ได้บอกว่าให้มีความเป็นทุนนิยมจัด แต่บอกว่า โลกทุนนิยมใบนี้มันบังคับและเราฝืนไม่ได้ในขณะนี้


 


เป็นไปไม่ได้ที่จะฝืนกระแสทุนนิยมสุดโต่งในขณะนี้ ได้แต่หวังว่าวันหนึ่ง คงมีคนฉลาดที่จะเข้ามาแก้ระบบนี้ แก้สำนึกของคนให้มองเห็นว่าทุนนิยมสุดโต่งแบบนี้ ไม่ได้เป็นผลดีต่อระบบและมนุษยชาติเลย เพราะจะมีแค่คนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่จะได้โอกาสของชีวิต และที่เหลือกลับไม่ได้ แม้ว่าอาจดีขึ้นกว่าในอดีตในบางแง่มุม แต่หลายๆ อย่างก็เลวร้ายขึ้น เช่น การไม่มีพื้นที่ให้กับคนที่ล้มเหลวในระบบเศรษฐกิจแบบนี้ ได้แก่บุคคลที่ไร้ทักษะ ไร้โอกาสต่างๆ  สักพักโลกใบนี้ก็คงกลับไปสู่สังคมแบบยุคเก่าๆ ที่มีการเข่นฆ่ากันในสนามเศรษฐกิจที่ซับซ้อน ซึ่งก็ไม่ต่างกับสนามรบแบบโบราณ หรือการกดขี่แบบระบบศักดินาในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นศักดินาแบบตะวันตกหรือแบบไทยๆ ดังนั้น การที่เคยเชื่อว่า "ทุนนิยม"อาจทำให้สังคมศักดินาล่มสลายไป ที่แท้ก็กลายเป็นว่า "ทุนนิยม" กลายสภาพเป็นศักดินารูปแบบใหม่เสียเอง แต่แยบยลกว่า ไม่ต้องพูดถึง "สังคมนิยม" ที่ใช้ได้ในบางที่ หรือ "คอมมิวนิสต์" ที่ตายไปแล้วอย่างไม่มีวันฟื้น


 


คำคมสองบทข้างต้น สอนให้ผู้เขียนทำใจกับหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ ความเที่ยงแท้นั้นไม่มี ความเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นไม่ว่าในระดับบุคคล หรือใหญ่กว่า อาจมีวันที่แผ่นดินจะสะเทือน ฟ้าจะเลื่อนลั่น และ ท้องน้ำจะแยกเป็นทาง การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจะเกิดเมื่อไรจะช้าหรือเร็วเพียงไรไม่มีใครรู้  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้เขียนทำได้ตอนนี้คือ เตือนตนเองว่าจะทำอย่างไรให้ผ่านพ้นแต่ละวันไปได้ จนกว่าจะถึงวันนั้น โดยไม่ทรมานความรู้สึกตนเองจนเกินไปนัก