Skip to main content

ยิ้ม…แด่ธรรมอันเป็นนิรันดร์

คอลัมน์/ชุมชน

เท่าที่จำได้ ความรู้สึกหนึ่งที่ผมมักพบเสมอเมื่อไปเยือนเมืองโบราณที่ถูกทิ้งร้างคือ


ความเงียบ….


ไม่ว่าจะอ่างทอง อยุธยาหรือสุโขทัย  ล้วนไม่แตกต่างกัน


 


จะว่าไปมันเป็นเรื่องปรกติ เพราะถ้าคำนึงถึงความจริงแล้ว สถานที่เหล่านี้จะคึกคักก็ต่อเมื่อมีข่าวการค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่น่าตื่นตาตื่นใจซึ่งเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นขึ้นมา


 


คนไทยคงยังจำได้ดีถึงกรณีขโมยทับหลังนารายณ์เมื่อหลายสิบปีก่อนที่กลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนรัฐบาลไทยต้องไล่บี้เอากับพิพิธภัณฑ์ที่ชิคาโกเพื่อทวงของคืน


 


เดชะบุญ…ที่ครานั้นภาพถ่ายของอาจารย์มานิต วัลลิโภดม (บิดาของอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีของเมืองไทยยุคปัจจุบัน) ได้ช่วยยืนยันว่า ทับหลังนี้ เคยติดอยู่ที่ปราสาทเขาพนมรุ้งจนสหรัฐฯ จนแต้ม จำต้องส่งเสด็จพระนารายณ์กลับมาบรรทมสินธุ์ที่เมืองไทยอยู่จนถึงทุกวันนี้


 


เมื่อพระนารายณ์เสด็จกลับมา ปราสาทหินพนมรุ้งก็แน่นเอี้ยดด้วยประชาชน นักเรียน นักศึกษาที่ "ตื่น" จะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ขึ้นมาระยะหนึ่ง


 


ใกล้เข้ามาอีกสักหน่อย คือกรณีพบ "ศิราภรณ์" ทองคำ ซึ่งเชื่อว่าเป็นสมบัติส่วนหนึ่งของกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะที่แตกไปจากการเจาะของบรรดาโจรเมื่อหลายสิบปีก่อน โดยสิ่งนี้ไปปรากฏที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจนตกเป็นข่าวใหญ่ติดต่อกันหลายวันในช่วงกลางปี 2548


 


ผมจำได้ว่าข่าวนี้เล่นเอารถทะเบียนกรุงเทพมหานครไปจอดอยู่หน้าวัดราชบูรณะเต็มไปหมด คนจำนวนมากต่างพากันเบียดเสียดแย่งกันขึ้นไปดู "กรุ" พระปรางค์ราชบูรณะ


 


ไปมากเสียจนหลายคนทำท่าจะเป็นลมเอาเพราะอากาศภายในกรุมีไม่เพียงพอสำหรับคนที่เข้าไปเบียดเสียดไม่ต่ำกว่า 50 คน


 


อีกด้านหนึ่งของเมือง คนจำนวนมหาศาลต่างพากันเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาเครื่องทองจากกรุเดียวกันเอาไว้


 


…พ้นจากสถานการณ์ข้างต้น เจ้าหน้าที่ที่ดูแลนักท่องเที่ยวตามโบราณสถานเหล่านี้ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าโบราณสถานและพิพิธภัณฑ์เหล่านี้ก็จะกลับมาเงียบเหงาเช่นเดิม


 


* * * *


 


บ่ายวันหนึ่งที่อยุธยา…


ผมเดินอยู่รอบเกาะเมือง ดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย เพราะเป้าหมายสุดท้ายของตนเองอยู่ที่พระราชวังจันทร์เกษมในตอนเย็น เดินพลางก็นึกถึงข่าวศิราภรณ์ที่เงียบหายไป


 


อารมณ์หนึ่งละเหี่ยใจกับความ "บ้าเห่อ" ของคนไทย แต่อารมณ์ก็เปลี่ยนไปเมื่อพินิจพิจารณาความสงบในพระพักตร์ของพระพุทธรูปหลายองค์ ที่แม้จะชำรุดไปบ้าง แต่ทุกองค์ยังแย้มพระโอษฐ์อย่างสงบเย็น


 


บางองค์อยู่ในโบสถ์ที่เหลือเพียงเสา หากแต่สายพระเนตรมองไปยังเมืองซึ่งเมื่อ 400 ปีก่อนได้ชื่อว่ารุ่งโรจน์ที่สุดบนแผ่นดินใหญ่สุวรรณภูมิและควรคู่กับพระเจ้าจักรพรรดิเป็นที่ยิ่ง


 


400 ปีผ่าน บัดนี้…เมืองนั้นเหลือแต่เรื่องเล่าขานกับตำนานให้คนรุ่นหลังจดจำ


ผมนึกถึงภาพพระพักตร์ของพระพุทธรูปโบราณหลายภาพที่อยู่ในคอมพิวเตอร์และม้วนฟิล์มของตนเอง--บางที ท่านอาจกำลังเตือนผมว่าใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง


 


มันเกิดขึ้น ดำรงอยู่ เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง และดับสิ้นไปตามวาระ


 


* * * *


 



พระนอน วัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง กับรอยยิ้มอันเป็นนิรันดร์


 


กันยายน 2549…


 


ข่าวลิ่วล้อนายทักษิณ ชินวัตร ออกมาท้าทายให้ประชาชนตัดสินดีชั่วของนายตนเองด้วยการเลือกตั้ง เห็นได้ทั่วไปตามหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ


 


คนส่วนหนึ่งออกมาไล่นายกรัฐมนตรีและพยายามบอกคนอีกกลุ่มให้รู้จักคำว่า "จริยธรรม" ที่ไม่สามารถใช้เสียงข้างมากตัดสินได้


คนที่ออกมาเชียร์นายกรัฐมนตรียังยืนยันความคิดของตนเองอย่างไม่ลืมหูลืมตา


อคาเดมี่แฟนเทเชีย ยังออกอากาศมอมเมาประชาชนให้กดข้อความสั้นเชียร์ผู้เข้าแข่งขัน ขณะที่สถานการณ์ชายแดนภาคใต้กำลังมีการฆ่าและวางระเบิดอยู่ทุกวัน


คนในเมืองหลวงเองก็พร้อมจะฆ่ากันได้ทุกเมื่อหากเชียร์นักการเมืองคนละฝ่าย  


 


ขนาดสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เยาวชนส่วนหนึ่งก็ยังคงถูกผู้ใหญ่ส่งเสริมให้แข่งกันแต่งตัวและร้องเพลงโดยไม่สนใจความเป็นไปของประเทศ


บันเทิงและบันเทิง คือแนวทางของพวกเขาไม่ว่าบ้านเมืองจะฉิบหายอย่างไรก็ตาม


 


บ้าบันเทิง คือทางเดินที่ถูกต้องและเป็นการแสดงออกที่ผู้ปกครองประเทศเชื่อว่าควรส่งเสริมมากกว่าการสอนให้พวกเขาหาความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตย การทำความดี หรือทำอะไรก็ตามเพื่อประเทศชาติ


เพราะการส่งเสริมแบบนี้ รังแต่จะทำให้พวกเขาโกงกินไม่สะดวก


 


คนไทยส่วนหนึ่งออกมาเรียกร้องความเป็น "กลาง" ระหว่างความดีและความชั่ว--ซึ่งไม่มีอยู่จริง


ละครน้ำเน่าหลังข่าวยังออกอากาศต่อไป--เจ้าของสถานีทีวีอ้างว่า"ตลาด" ต้องการเช่นนั้น


 


ทุกวันนี้ ผมประจักษ์ใจแล้วว่า มนุษย์บางพวก ความดี และการตัดสินใจบางสิ่งบางอย่างมันวัดด้วย "เงิน" อย่างเดียวจริงๆ


 


ขายได้--คนส่วนมากชอบ--มันเป็นธุรกิจ และ ฯลฯ—นับหมื่นนับพันเหตุผลคล้ายๆ แบบนี้ที่พวกเขาชอบกล่าวอ้าง


คนส่วนมากคิดเช่นนี้ คือวิปริตและอาเพศมิใช่หรือ


 


เย็นวันนั้น ผมมองรอยแย้มโอษฐ์ของพระพุทธรูปโบราณที่แย้มมานานนับร้อยปี สายพระเนตรจ้องมองความเปลี่ยนแปลงของเมืองๆ หนึ่งตั้งแต่กำเนิด รุ่งโรจน์สูงสุด จนถึงกาลดับสลาย


 


 "กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม…"


เพลงยาวพยากรณ์วาระสุดท้ายของกรุงศรีอยุธยาที่ชาวกรุงเก่าพูดกันก่อนเสียกรุง อันแสดงถึงความวิปริตของสิ่งต่างๆ ในบ้านเมืองดังก้องขึ้นในใจผม


 


ผมจำได้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้พวกเราชาวพุทธเดินสายกลาง แต่พระองค์มิเคยสอนให้ชาวพุทธเป็นกลางระหว่างความดีกับความชั่ว


 


นึกได้ดังนั้นผมก็ปลง มองไปที่พระพักตร์ของพระพุทธรูปอีกครั้ง


แม้รอบกายทุกองค์จะเงียบเหงา แต่พระองค์ก็ทรงแย้มยิ้ม


แย้มยิ้มให้ธรรมอันเป็นนิรันดร์ที่พระพุทธองค์บัญญัติเอาไว้เมื่อ 2,549 ปีก่อน


แย้มยิ้ม…ให้กับความเหลวแหลกของมนุษย์ยุคปัจจุบัน