Skip to main content

บ้านดาวรักดิน บ้านของนักเขียน 3 : บ้านนี้ชื่อดาวรักดินหรือดินรักดาว

คอลัมน์/ชุมชน

ไม่ใช่แค่หนุ่มสาวเท่านั้น  เด็ก ๆ อย่างเด็กชายคำปัน ก็ลงมาเหยียบดินด้วย


เขามากับพ่อแม่ และลุง บางวันเหยียบดิน กลางคืนถ่ายรูปกับลุง ๆ ป้า ๆ ที่เล่นดนตรี


 


ทุกคนช่วยกันขุดดิน เอาแกลบผสมลงไป และเหยียบย่ำดิน บางคนตักใส่ถัง ส่งให้เพื่อนหิ้วเอาไปเทใส่แม่พิมพ์ ตากให้แห้ง ทำแผ่นดินเป็นก้อนเหลี่ยม วางเรียงรายไว้ข้างสระกว้าง


 


การก่อบ้านเริ่มขึ้นแล้วจากก้อนดินทีละก้อน ๆ ผนังบ้านเป็นรูปเป็นร่างขึ้น



 



เอ้า...ช่วยกันขึ้นโครงหน้าต่าง เล็งมุมดีๆ หน่อย


 


ไพฑูรย์ พรหมวิจิตร กวี นักวิชาการล้านนาคดีแห่งสถาบันวิจัยสังคม กำลังแกะตัวอักษรล้านนาลงในแผ่นไม้เก่า ๆ ตัวอักษรล้านนานั้นเขียนว่า "บ้านดาวรักดิน"


 


วันต่อมาผนังก่อขึ้นไปใกล้เสร็จแล้ว อรุณรุ่ง สัตยสวี และน้องนักดนตรีวงสุดสะแนน เอาแผ่นป้ายชื่อ "บ้านดาวรักดิน" ติดผนังด้านหน้า ตกแต่งด้วยปูนโปะลงไป


 


งานฉาบผนังเริ่มขึ้นแล้ว ฉาบด้วยดินผสมแกลบนั่นแหละ มือกอบดินป้ายลงไป


 


ช่างคนสำคัญเป็นหญิงสาว ชื่อ ต้อ หรือแสงเดือน รู้งาน เธอบอกว่าช่วงนี้เดินทางมาเชียงใหม่รู้ว่าอ้ายแสงดาวจะสร้างบ้านเลยอาสา


"ป้ายดินต้องป้ายขึ้นข้างบนไม่อย่างนั้นดินจะตกหมด" เธอบอก


 


ฉันฝึกอยู่สองสามครั้ง ทำอย่างไรดินมันก็ตกลงมาจากผนังมากกว่าติด  ฉันไม่ขยันและไม่แข็งแรงพอ ส่วนเธอเป็นหญิงสาวที่ขยันและแข็งแรงจริง ๆ เธอหยุดกินข้าวกลางวันเท่านั้น  เธอกินน้อยพูดน้อย และกินแต่ผักไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ว่าแต่ละมื้อมีอาหารมากมายและน่ากินแค่ไหน เธอก็ไม่สนใจ


 


เมื่อถามว่าเคยสร้างบ้านดินมาก่อนไหม เธอบอกไม่เคย


 "เป็นครั้งแรกที่ใช้แรงงานเช่นนี้หรือ"


 "เป็นกรรมกรเลยแหละ" เธอพูดยิ้ม ๆ


 


ขอเล่าถึงเธอด้วยความศรัทธาสักหน่อย เธอเป็นหญิงสาวนักเดินทาง เธอเคยเป็นอาสาสมัคร เธอเคยสอนหนังสือเด็กด้อยโอกาสบนดอยสูง 


 


วันหนึ่งฉันกับเพื่อนสาวสองคนเดินทางไปบ้านดินแสงดาว เย็นนั้นไม่มีใครอยู่ที่บ้านดิน มีแต่เธอคนเดียวปีนอยู่ข้างบน เธอกำลังป้ายดินลงไปในส่วนที่ติดกับหลังคา เมื่อฉันชวนเธอลงมากินขนม  เธอบอกว่า ขอทำส่วนนี้อีกสักหน่อยอยากดูว่ามันเป็นอย่างไร


 


เย็นนี้พวกผู้ชายสร้างบ้านเข้าไปในเมืองมีกิจกรรมอะไรสักอย่าง เธอจึงอยู่คนเดียว และคืนนี้จะต้องอยู่คนเดียวในทุ่งนากว้างและบ้านที่ไม่มีประตู นั่งคุยเป็นเพื่อนเธอจนมืดค่ำ ชวนเธอไปพักในเมืองบ้านเรา เธอไม่ไปกับเรา และเธอไม่กลัว


 


เธอบอกเราว่า "คิดว่าเมื่อเราคิดแต่เรื่องดี ๆ ทำสิ่งดี ๆ ไม่คิดทำร้ายใคร ไม่คิดทำร้ายใครก็จะปลอดภัย"


ฉันเห็นด้วยกับเธอ


 


เมื่อรู้ว่าเธอไม่กลัวอะไรแน่แล้ว เธอเดินทางไปไหนต่อไหนมาเยอะและบอกว่าที่อื่นน่ากลัวกว่านี้เยอะ เราทั้งสามจึงเดินทางกลับ


 


พวกเราเห็นแสงไฟสว่างวาบ ๆ มาแต่ไกล แสงไฟนั้นมุ่งตรงไปที่บ้านดาวรักดิน เรารีบจอดรถข้างทาง และคุยกันว่าจะทำอย่างไร แสงไฟนั้นกำลังมุ่งตรงไปที่บ้านแน่นอน พวกเราคุยกันว่า เขาจะไปทำไม เขาต้องรู้แน่ ๆ ว่า คืนนี้ไม่มีใคร


 


เมื่อเรามีความเห็นตรงกัน จึงชวนกันลงจากรถ เราสามคน เขาคนเดียวถึงแม้จะเป็นผู้ชายเราก็สู้ได้


 


ฉันถือได้ไม้ขนาดเหมาะมือ 1 อัน  แสงไฟนั้นหันกลับมาที่เรา ฉันคิดว่าเขาคงสงสัยว่า พวกนั้นเป็นอะไรทำไมไม่ออกรถไป แสงไฟใกล้เข้ามา…เมื่อเข้ามาใกล้เราจึงพบว่าเขาเป็นผู้ชายตัวผอมที่ติดไฟไว้ที่หน้าผาก


 


"อ้ายทำอะไรเจ้า" รีบถามออกไปอย่างผูกมิตร


 "หาหนู"เขาตอบ


เขาอยู่ในชุดหาหนูจริง ๆ เข้าไปดูใกล้ ๆ จนได้เห็นหน้าของเขา และดูว่าเขามีถุงข้าวเปลือกสำหรับใช้เป็นเหยื่อหนูจริงหรือเปล่า


 


"เราไปกันเถอะ ไม่รอแล้ว พวกนั้นไปซื้อน้ำแข็ง เดี๋ยวคงเข้ามา"


เพื่อนสาวอีกคน แกล้งพูดว่า เพื่อให้ได้ยินว่า สักพักจะมีเพื่อนมากัน


 


เมื่อเราออกรถกันมาแล้ว ฉันเริ่มคิดและขำตัวเอง นี่ขนาดว่า ฟังแสงเดือนพูดอยู่เมื่อกี้ว่า คิดเรื่องดี ๆ คิดถึงคนอื่นดี ๆ  เรายังเผลอคิดถึงคนอื่นไม่ดี คิดถึงคนหาหนูในทางที่ไม่ดี


 


ฉันหาเหตุผลให้ตัวเองว่าเป็นเพราะตัวเองมีประสบการณ์พื้นฐานไม่ดี  เล็ก ๆ มาจากบ้านเกิดที่เคยเป็นพื้นที่สีแดงมาก่อน แต่นั่นไม่เท่ากับการเติบโตมาจากเมืองใหญ่ที่ผู้คนมากมาย ชีวิตที่ต้องระมัดระวังตัวทุกย่างก้าว ทำให้ระแวดระวังอะไรมากเกินไป


 


รู้สึกละอายและขอโทษคนหาหนูอยู่ในใจ