หลักคิดและวิธีการคิด ส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ : ทิศทางหนึ่งปฏิรูปการเมือง
คอลัมน์/ชุมชน
คำนำ
แม้ว่าการเลือกตั้งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ในกระบวนการเลือกตั้งเองก็มีความสำคัญต่อระบอบประชาธิปไตยไม่น้อย ที่เราจำเป็นต้องช่วยกันปรับปรุงหรือช่วยกันปฏิรูปให้ดีขึ้น
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กำหนดให้มี ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อจำนวน ๑๐๐ คน วัตถุประสงค์ก็เพื่อให้พรรคการเมืองเข้มแข็งและเป็นปึกแผ่น แต่ถ้าอ่านจากกระแสสังคมในตอนนั้นก็คงจะเพื่อไม่ให้มีพรรคการเมืองมากเกินไปเหมือนในอดีตด้วย
วิธีการคิดคะแนนในกลุ่ม ส.ส. บัญชีรายชื่อที่กำหนดว่า พรรคใดที่ได้เสียงไม่ถึง ๕% ของผู้มาใช้สิทธิ์ทั้งหมดจะไม่ได้ ส.ส.ในกลุ่มนี้เลย จากนั้นก็นำคะแนนของพรรคที่ได้เกิน ๕% ขึ้นไปมาจัดสรรที่นั่งกันตามสัดส่วนของคะแนนที่ได้รับ
ปัญหาของวิธีการเดิม
ผมเห็นว่าวิธีการคิดคะแนนดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดปัญหา ๒ ประการ คือ
หนึ่ง เป็นการละเมิดสิทธิ์ของเสียงส่วนน้อยอย่างสิ้นเชิง ระบอบประชาธิปไตยแม้จะปฏิบัติตามมติของเสียงส่วนใหญ่ แต่ต้องเคารพต่อเสียงส่วนน้อยด้วย เพื่อให้โอกาสเสียงส่วนน้อยได้พูด
สอง เป็นหลักการที่ขัดแย้งกับหลักการในกลุ่ม ส.ส. เขต ที่กำหนดว่า พื้นที่ใดที่มีประชากรจำนวน ๑ แสน ๕ หมื่นคน(โดยประมาณ) จะมีผู้แทนได้หนึ่งคน เราเรียกว่า ส.ส. เขตพื้นที่
คำถามก็คือว่า ทำไมเราไม่อนุญาตให้คนที่มีความคิดคล้ายๆกันในขอบเขตทั่วประเทศไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดของประเทศจำนวน ๑ แสนห้า ๕ คนสามารถมีผู้แทนของตนเองได้สัก ๑ คนด้วยเล่า
ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารสามารถแพร่หลายได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางเช่นปัจจุบันนี้ เป็นเรื่องไม่ยากเลยที่กลุ่มคนที่มีความคิดหรืออุดมการณ์ที่คล้ายๆกันจะสื่อสารถึงกัน รวมตัวกัน หรือเรียกร้องสิทธิของตนเอง
แล้วทำไม เราจึงไม่ให้สิทธิกับพวกเขาเหมือนกับกลุ่ม ส.ส. เขตด้วยเล่า
ที่กล่าวมาแล้ว ผมเข้าใจว่าเป็นหลักการที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่เราจะต้องยึดถือ ต่อไปนี้ผมจะนำเสนอวิธีการคิดคะแนนใหม่ เป็นวิธีการที่ง่าย ไม่ซับซ้อนเลย
และรับรองว่า ความเป็นปึกแผ่นของพรรคการเมืองยังคงอยู่ โดยที่พรรคใหญ่ยังคงได้จำนวน ส.ส. ลดลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในแง่จำนวน ส.ส. ยังคงเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมากอยู่ ที่สำคัญเราได้เปิดโอกาสให้พรรคเล็กที่ได้เสียงเกิน ๑ แสน ๕ หมื่นคนขึ้นไปได้มีที่ยืนในสภาผู้แทน ได้มีโอกาสแสดงอุดมการณ์ทางการเมืองของตนเอง แต่ว่าจะเป็นอุดมการณ์ที่ดีหรือไม่ ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเอง อย่าลืมว่าในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติอุดมการณ์ดีๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตย หรือเรื่องแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกย่อมเกิดมาจากคนกลุ่มเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยขยายออกไปทั้งสิ้น
เปรียบเทียบวิธีการเก่าและใหม่
ก่อนที่จะเสนอวิธีการคิดคะแนนของผม ผมขอนำเสนอเปรียบเทียบผลการเลือกตั้งก่อนว่า ถ้าคิดแบบเดิมกับคิดแบบใหม่ แล้วจำนวน ส.ส. ของแต่ละพรรคจะแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน ผมขอใช้คะแนนจริงๆจากการเลือกตั้งปี ๒๕๔๘ มาเปรียบเทียบ ดังตาราง
พรรค | คะแนนที่ได้(ล้าน) | เปอร์เซ็นต์ | จำนวน ส.ส.แบบเดิม | จำนวน ส.ส.แบบใหม่ |
ไทยรักไทย | ๑๘.๙๙๓ | ๖๑.๑๗ | ๖๗ | ๖๒ |
ประชาธิปัตย์ | ๗.๒๑๑ | ๒๓.๒๒ | ๒๖ | ๒๔ |
ชาติไทย | ๒.๐๖๒ | ๖.๖๓ | ๗ | ๗ |
มหาชน | ๑.๓๕๗ | ๔.๓๓ | ๐ | ๔ |
พลังเกษตรกร | ๐.๒๙๙ | ๐.๙๖ | ๐ | ๑ |
คนขอปลดหนี้ | ๐.๒๙๔ | ๐.๙๔ | ๐ | ๑ |
แรงงาน | ๐.๑๖๒ | ๐.๑๖ | ๐ | ๑ |
รวม | ๓๐.๓๗๘ | ๙๗.๔ | ๑๐๐ | ๑๐๐ |
หมายเหตุ พรรคเล็กๆ อีก ๑๒ พรรคซึ่งไม่ได้เอ่ยถึงในที่นี้ ไม่ว่าคิดคะแนนแบบเก่าหรือแบบใหม่ก็ยังคงไม่มี ส.ส. ในสภา ในจำนวนนี้ พรรคชาติประชาธิปไตย ได้คะแนนเกิน ๑ แสนเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีที่นั้งในสภา
จากตารางเราจะเห็นว่า พรรคไทยรักไทย ได้ ส.ส.ลดลงจาก ๖๗ คนเหลือ ๖๒ คน เมื่อรวมจำนวน ส.ส. ทั้งสองระบบ พรรคไทยรักไทยจะมีจำนวน ส.ส. ลดลงจาก ๓๗๗ คนลงเหลือ ๓๗๒ คน
คำถามก็คือว่า ด้วยจำนวน ส.ส. ที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยนี้จะทำให้พรรคไทยรักไทยสูญเสียอะไรไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเอกลักษณ์ การแพ้-ชนะกันด้วยมือในสภา โอกาสในการได้อภิปราย เพราะภายใต้ระบบพรรคทำให้ทั้ง ๓๗๗ คนก็มีสถานะคล้ายกับคนๆเดียว คำตอบคือไม่มี
แต่ข้อดีก็คือ เราได้ให้พรรคเล็กจำนวนถึง ๔ พรรคมีโอกาสแสดงออกถึงอุดมการณ์ทางการเมืองของตน แม้จะมีจำนวน ส.ส. เพียง ๗ คนก็ตาม
วิธีการใหม่ คืออย่างไร
วิธีการนี้ก็คล้ายกับวิธีการแบบเก่า ต่างกันตรงที่แบบเก่าได้ตัดพรรคที่ได้คะแนนต่ำกว่า ๕% ทิ้ง แล้วนำพรรคที่ได้คะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ ๕% มาเฉลี่ยกันตามสัดส่วนที่แต่ละพรรคได้ ทำให้แต่ละพรรคที่ได้คะแนนประมาณเกือบ ๓ แสนคน สามารถมีที่นั่งได้ ๑ ที่
แต่วิธีการแบบใหม่นี้ ให้ตัดพรรคที่ได้คะแนนไม่ถึง ๑ แสน ๕ หมื่นเสียงทิ้ง แล้วนำคะแนนของพรรคที่ได้มากกว่าหรือเท่ากับ ๑ แสน ๕ หมื่นเสียงมาเฉลี่ยตามสัดส่วน ส่งผลให้แต่ละพรรคที่มีคะแนนประมาณ ๓ แสน ๔ หมื่นคน สามารถมีที่นั่งเพิ่มขึ้น ๑ ที่นั่ง
ถ้าเขียนเป็นสมการคณิตศาสตร์จะได้ว่า จำนวน ส.ส. ของพรรคใด จะเป็นไปตามสมการนี้ คือ
เมื่อ Ni คือ จำนวนที่นั่งที่พรรค i จะได้รับ Si คือ คะแนนเสียงที่พรรค i ได้รับ(นับเป็นล้านคน) และ SSi คือคะแนนรวมของทุกพรรคที่ได้คะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ ๑ แสน ๕ หมื่นคน (หมายเหตุ โดยวิธีนี้ จำนวนที่นั่งที่เป็นจำนวนทศนิยมให้ปัดทิ้ง เช่น Ni = 10.75 ให้ถือว่า Ni = 10 เป็นต้น)
สรุป
ผมเชื่อว่าวิธีการที่ผมได้นำเสนอมานี้ สามารถบรรลุหลักคิดที่ว่า พรรคใหญ่รวมทั้งพรรคขนาดกลางก็ไม่ได้สูญอะไรมาก (ดังตัวเลขในตารางที่แสดงแล้ว) ในขณะเดียวกันพรรคเล็กๆ ก็สามารถมีที่ยืนในสภาเพื่อแสดงออกในอุดมการณ์ของตนเองได้ และถ้าเป็นอุดมการณ์ที่ดีก็สามารถขยายผลในการเลือกตั้งครั้งต่อๆไปได้
ปัญหามีอยู่ว่า หลักคิดนี้เป็นหลักคิดที่ถูกต้องตามหลักการในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ ถ้าท่านผู้อ่านเห็นว่าถูกต้อง กรุณาสนับสนุนและเผยแพร่ออกสู่วงกว้างด้วยครับ ทั้งนี้เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยของเราสมบูรณ์ยิ่งขึ้น นี่คือการเมืองส่วนหนึ่งที่จะต้องปฏิรูป