ผู้ชายอ่อนหวาน
คอลัมน์/ชุมชน
หลายปีที่ผ่านมานี้ ฉันมีโอกาสทำอบรมให้นักศึกษาอยู่บ้าง สิ่งหนึ่งที่สังเกตว่าเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ คือการล้อกะเทย หรือแม้แต่ผู้ชายที่ท่าทางเหมือนผู้หญิง ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเองไม่ได้บอกเลยว่าเขาเป็นกะเทย หรือชอบเพศใด ก็ไม่เว้นจะถูกล้อเลียนไปด้วย
สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันทำอบรมให้นักศึกษาสองครั้ง สองกลุ่ม ข้อสังเกตของฉันก็ยังเหมือนเดิม แต่มีอีกสิ่งที่สังเกตเพิ่มขึ้นคือ นักศึกษาผู้หญิงบางคนดูจะกังวลกับการหาแฟนผู้ชายมาก เพราะว่าเดี๋ยวนี้ "มีพวกแอบเยอะเหลือเกิน ผู้ชายแท้ๆ หายาก"
ในการอบรมของอาทิตย์ที่แล้ว มีน้องผู้ชายคนหนึ่ง หน้าตาใส ท่าทางสุภาพอ่อนโยนเอามาก ๆ ฉันขอเรียกน้องคนนี้ว่าโดมแล้วกัน นิสัยที่น่ารักทำให้ฉันประทับใจเขาตั้งแต่แรกเจอ โดมชอบเข้ามาเล่าเรื่องสนุกๆ ให้ฉันฟัง อย่างเช่น ทำไมเขาจึงเลือกเข้าชมรมศาสนามากกว่าจะไปเข้าชมรมรำไทย ทั้งๆ ที่เขาชอบรำไทยมาก สครับหน้าแบบไหนใช้ดีบ้าง เคล็ดลับการทำอาหารชนิดต่างๆ ประวัติการดูแลผิวหน้าของเขา หรือเวลาไปเที่ยวเราจะมีวิธีแก้ท้องผูกอย่างไร
ดูๆ แล้วน้องคนนี้เป็นคนที่ขวนขวายหาความรู้และการดูแลตัวเองอยู่เสมอ เขายังเป็นคนที่ดูแลคนอื่นๆ อีกด้วย ฉันเห็นเขาวิ่งฝ่าฝนไปตามเพื่อนๆ มากินข้าว บางทีเวลาฉันกินข้าวอยู่เขาก็จะโผล่มาข้างๆ พร้อมกับยื่นกระดาษทิชชูสีชมพูให้ฉันไว้เช็ดปาก แล้วก็เล่าที่มาที่ไปของกระดาษสีชมพูที่ไม่มีขายตามท้องตลาดอีกแล้ว
แต่ผู้ชายที่อ่อนหวาน อ่อนโยน ชอบรำไทย และยังดูแลผิวหน้าอย่างดีเช่นนี้ ไม่ใช่ผู้ชายที่เข้าอยู่ในกรอบความเป็นชายที่สังคมปัจจุบันกำหนด โดมจึงตกเป็นเป้าของการล้อกะเทยไปโดยปริยาย
ครั้งนี้ เสียงล้อกะเทยยังคงมีเข้ามาเป็นระยะๆ บางครั้งเสียงล้อพุ่งตรงไปที่โดมอย่างตั้งใจ โดมถูกเพื่อนผู้ชายล้อว่าไม่ใช่ผู้ชาย ท่าทางโดมดูจะไม่พอใจไม่น้อย อีกครั้งที่ฉันเห็นคือ ในวงกินข้าว เพื่อนผู้หญิงอีกคนพูดถึงความกลัวผู้ชายเป็นเกย์ของเธอ เธอมองไปที่โดมแล้วพูดคำว่า "เกย์" ดังๆ ใส่หน้าเขา โดมแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจกับคำพูดนี้ ฉันเห็นใจเขาจริง ๆ แล้วก็คิดว่าจะพูดอะไรกับน้องผู้หญิงคนนี้ดี ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายโดม แต่ใครๆ ก็ล้อเกย์กันทั้งนั้น เธอคงไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องแปลก หรือไม่คิดว่ามันจะทำร้ายใคร
แล้วโอกาสก็เป็นของฉัน น้องผู้หญิงคนนี้หันมาพูดกับฉันว่า "พี่ หนูเคยพยายามจะเปลี่ยนเกย์คนหนึ่งให้เป็นผู้ชาย"
ฉันรีบคว้าโอกาสนี้ "ถ้าเขาเป็นเกย์จริง เราก็คงจะเปลี่ยนเขาไม่ได้หรอก"
น้องผู้ชายที่มาจากคณะแพทย์เสริมว่า "อาจารย์ผมบอกว่าถ้าเปลี่ยนได้ก็แสดงว่าเขาเป็นไบ"
โอ....สวรรค์ ขอบพระคุณอาจารย์คณะแพทย์มาก "อือม์ ใช่ คนบางคนก็รักได้แต่คนต่างเพศ บางคนก็รักได้ทั้งสองเพศ แต่บางคนก็รักได้เฉพาะเพศเดียวกัน"
น้องผู้หญิงทำท่าอึ้งกับคำพูดของฉัน
โดมรีบพูดขึ้นว่า "มันอยู่ที่สมดุลของแต่ละคนใช่ไหมพี่" แล้วฉันก็เห็นเขายิ้มกว้าง
ใช่แล้ว สมดุลของเราแต่ละคน ที่จะรักเพศไหนชอบเพศไหน แล้วเรื่องการล้อกะเทยนี่ก็อาจจะขึ้นอยู่กับสมดุลด้วยเช่นกัน และนี่คงเป็นสมดุลที่สังคมเป็นผู้หล่อหลอมเรามา
ฉันสังเกตเห็นว่าในกลุ่มนักศึกษาที่เป็นผู้ชายส่วนใหญ่ อย่างกลุ่มเด็กวิศวะ เสียงล้อตุ๊ดเกลียดกะเทยจะมีมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ฉันเข้าใจว่าเสียงล้อนี้อาจจะมาจากความอึดอัดที่เห็นความอ่อนหวานอ่อนโยนในตัวผู้ชายด้วยกัน อาจจะเป็นการไม่เคยได้รับการสอนให้ทะนุถนอมความอ่อนหวานอ่อนโยนในตัวเอง เพราะผู้ชายถูกสอนมาให้เป็นแมน และต้องแสดงออกแต่ความเป็นแมนเท่านั้น ส่วนความอ่อนหวานอ่อนโยนนั้นเป็นเรื่องเฉพาะของผู้หญิง ที่ผู้ชายไม่สมควรมี สมดุลภายในจึงเหวี่ยงไปทางชายเสียสุดโต่ง
อาจจะเป็นความกลัวความเป็นผู้หญิงของสังคมชายเป็นใหญ่ เพราะความเป็นผู้หญิงถูกวัดคุณค่าให้ต่ำกว่าความเป็นผู้ชาย ดังนั้นผู้ชายจึงต้องทำตัวให้เหนือกว่าด้วยการประกาศตนเป็นเขตปลอดคุณสมบัติความเป็นหญิงเข้าไว้ ผู้ชายใดที่บังอาจก้าวข้ามไปในเขตที่ถูกจำกัดให้เป็นของผู้หญิงเท่านั้น สมควรถูกตราหน้าว่าเป็นกะเทย
สิ่งที่โดมเจอ อาจจะเป็นการลงโทษจากสังคม เพื่อว่าเขาจะได้เปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง แล้วกลับเข้ามาอยู่ในเขตกักกันของผู้ชาย ส่วนน้องผู้หญิงก็ถูกสอนให้รับผู้ชายที่อยู่นอกเขตกักกันนี้ไม่ได้เช่นกัน โดยใช้ตรรกะที่ว่าถ้ามีคนพวกนี้อยู่ เธอจะไม่สามารถหาแฟนที่เป็น "ชายแท้ ๆ" ได้ คำขู่เช่นนี้น่ากลัวมากสำหรับวัยรุ่นสมัยนี้ เธอจึงต้องล้อโดม เพื่อไล่ให้เขากลับไปอยู่ในเขตผู้ชายแท้ ประชากรของผู้ที่จะเป็นแฟนเธอได้จึงจะไม่ลดลง
ภาวะที่จำกัดกักกันความเป็นชายเช่นนี้แหละที่ฉันคิดว่าเสียสมดุล
ฉันคิดถึงภาพ ๆ หนึ่งในหนังสือเรื่องอวสานสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสยาม ภาพนี้ถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2469 เป็นภาพขบวนฟ้อนของเจ้าผู้ครองเมืองแห่งอาณาจักรล้านนา เพื่อต้อนรับการเสด็จเยือนเชียงใหม่ของรัชกาลที่ 7 และพระนางเจ้ารำไพพรรณี นี่เป็นการเสด็จเยือนครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพระมหากษัตริย์และพระราชินีจากกรุงเทพ
ฉันเห็นครั้งแรกแล้วไม่เชื่อสายตาตัวเอง ต้องดูภาพและอ่านคำบรรยายอีกครั้ง แต่ละท่านที่กำลังฟ้อนรำอย่างสง่างามนั้นเป็นเจ้าเมืองจริง ๆ หรือนี่ ความอ่อนช้อยงดงามเหล่านี้สามารถปรากฏในตัวเจ้าเมืองได้หรือ แล้วนี่เป็นงานพิธีต้อนรับกษัตริย์และราชินี ขบวนฟ้อนนี้ต้องถือว่าเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ มีคุณค่า หรือมีเกียรติยศอย่างสูง ในชีวิตฉันเคยเห็นแต่การต้อนรับผู้นำประเทศด้วยขบวนแถวทหารพกอาวุธที่แสดงความแข็งแกร่ง คิดภาพไม่ออกเลยว่า ในปัจจุบันจะมีผู้นำประเทศไหนที่จะฟ้อนรับผู้นำอีกประเทศหนึ่ง อย่างอ่อนช้อย สง่างาม และทรงเกียรติเช่นในภาพนั้น
ฉันคิดถึงภาพของครูโนราจากทางใต้ที่เพื่อนถ่ายรูปมาให้ดู ความอ่อนช้อย งดงาม แต่เปี่ยมไปด้วยพลัง ทำให้ครูดูเป็นดั่งเทพที่ลงมาร่ายรำให้มนุษย์ตะลึง แล้วยังเสียงร้องพากย์หนังตะลุงของพี่นายหนังชาวเพชรบุรีอีกเล่า อ่อนหวานเสียจนฉันคิดว่าจอหนังตะลุงนั้นเป็นแดนสวรรค์
ฉันยังคิดถึงภาพของพระพักตร์พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ซึ่งมีท่านผู้หนึ่ง (ขอโทษด้วยจำไม่ได้แล้วว่าใคร) นำไปเปรียบเทียบกับหน้าของผู้หญิงสุโขทัย แล้วปรากฏว่าคล้ายคลึงกันมาก อาจารย์ทางธรรมที่เป็นผู้หญิงท่านหนึ่ง เคยบอกฉันว่า เวลาที่เห็นการปฏิบัติของพระในพุทธศาสนาแล้ว เข้าใจว่านี่เป็นการบ่มเพาะผู้ชายให้มีคุณลักษณะของความเป็นหญิง ไม่ว่าจะเป็นกิริยาที่สำรวม การมีความเมตตากรุณา หรือแม้แต่การได้อยู่ใกล้ ๆ กับพระพุทธรูปที่อ่อนโยนและสงบนิ่ง
ถ้าอธิบายตามอาจารย์ธรรมะท่านนี้ คงพูดได้ว่าวัฒนธรรมและศาสนาเช่นที่ว่านี้ ทำให้ผู้ชายได้เข้าไปสัมผัสและบ่มเพาะความเป็นหญิงของตัวเอง เพื่อให้เกิดสมดุลหญิง-ชายขึ้นภายใน คล้าย ๆ กับหลักหยิน-หยาง หรือหลักแอนนิมา-แอนนิมัส ของคาร์ล จุง
ถ้าให้แฟนฉันอธิบาย เธอก็จะบอกว่า อย่าลืมนะว่าในแต่ละวัฒนธรรม ความเป็นหญิงและความเป็นชายไม่จำเป็นจะต้องมีรูปแบบที่เหมือนกันทุกอย่าง การที่ผู้ชายฟ้อนรำนั่นอาจจะแสดงความเป็นชายของเขาก็ได้ คุณสมบัติเหล่านี้มันไม่จำกัดหรอกว่าเป็นของผู้หญิงหรือผู้ชาย
ฉันเองเห็นด้วยกับทั้งคำอธิบายทั้งสองอย่าง และคิดว่าโดมคงจะมีความสุขมากกว่า ในโลกที่เขาฟ้อนรำได้อย่างภาคภูมิ หรือในโลกที่เขาสามารถแสดงความอ่อนหวาน อ่อนโยนต่อตัวเองและผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากเสียงล้อเลียน ไม่ว่าเขาจะรักเพศไหนหรือเป็นกะเทยหรือไม่ก็ตาม
แต่ในโลกใบนี้ ฉันคิดว่า การที่โดมสามารถยืนหยัดท่ามกลางเสียงล้อเลียนของเพื่อน ๆ มาได้ โดยยังคงความสดใส และความห่วงใยเพื่อน ๆ ที่ล้อเขา เท่านี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าภายใต้ความอ่อนหวานภายนอก ข้างในเขานั้นแข็งแกร่งและมั่นคงเพียงใด