Skip to main content

Mae kong’s journey :1

คอลัมน์/ชุมชน

เมื่อใดก็ตามที่เราตัดสินใจหยิบหนังสือเกี่ยวกับเดินทางท่องเที่ยวของใครซักคนขึ้นมาอ่าน เราอาจจะไม่รู้สึกตัวว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับความกลัวชนิดหนึ่งอยู่


 


แต่นั่นอาจจะไม่ใช่บทสรุปอย่างจริงแท้แน่นอนสำหรับทุกๆคน


 


เป็นอีกวาระหนึ่งที่ผมต้องเดินทางออกนอกประเทศ เมื่อต้องเดินทางไปยังที่ไม่เคยไป หรือไปยังที่ที่มีคนไปแล้วแล้วเจอเหตุการณ์เอารัดเอาเปรียบถึงขั้นผีดูดเลือด ผมก็ชักกลัวๆ  เลยต้องหาข้อมูลก่อนการเดินทาง พูดให้ดูดีคือ ถึงวาระต้องเตรียมตัวก่อนการเดินทาง


 


ประเทศแรก  คือลาว ที่นี่ผมเลือกเดินทางจากกรุงเทพโดยรถไฟตู้นอนไปลงหนองคาย ไปลาว ไม่ต้องขอวีซ่า การข้ามไปฝั่งลาวสามารถข้ามโดยรถสาธารณะ ตรงบริเวณด่านผ่านแดน รถคันนี้จะรับตรงด่านฝั่งไทย ข้ามสะพานมิตรภาพไปส่งที่ด่านเมืองลาว ราคาคนละ 10 บาท การผ่านแดนถ้ามีพาสปอร์ต จะง่ายมากและไม่เสียค่าใช้จ่ายในการผ่านแดนในฝั่งไทยแต่อย่างใด แต่ในฝั่งลาวจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการผ่านแดน คนละ 10 บาท


 


สำหรับผู้ที่ไม่มีพาสปอร์ต สามารถทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวได้ที่บริษัททัวร์ที่อยู่บริเวณเชิงสะพานซึ่งมีหลายบริษัท เอกสารที่ต้องมีคือบัตรประชาชน และรูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว ค่าทำจะประมาณไม่เกินสองร้อยบาท


อยู่ได้2 คืน3 วัน ถ้าอยู่นานกว่านั้นให้ไปแสตมป์อยู่ต่อได้ที่เวียงจันทร์ ไม่งั้นอาจจะเสียค่าปรับมากกว่าหลายเท่า


 


ค่าเงินที่นั่นพอๆ กับเมืองไทย เวลาจะจับจ่ายใช้สอยทั่วไปก็จะคล้ายๆจับจ่ายใช้สอยที่เมืองไทย ถ้าไม่เข้าร้านที่ดูหรูหรามาก  เวลาจ่ายเงินสามารถใช้ได้ทั้งเงินไทย และเงินกีบ


 


นครเวียงจันทร์ ณ วันนี้ ยังคงเรียบง่าย การเปลี่ยนแปลงกำลังคืบคลานอย่างช้าๆค่อยเป็นค่อยไป นวลเนียนไปกับวิถีชีวิต สังเกตได้จากการสร้างถนนคอนกรีตเพิ่มขึ้นหลายแห่ง รวมถึงตึกรามบ้านช่องที่ก่ออิฐถือปูนตามแบบสมัยใหม่ ที่นี่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เยอะพอสมควร


 


และจะมีที่พักราคาถูกจนถึงแพง รวมทั้งร้านค้า ร้านอินเตอร์เน็ต อยู่ใกล้ๆ กับแม่น้ำโขง ซึ่งถ้ามองข้ามไปจากจุดนั้นก็จะเป็น อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ในทางตรงกันข้ามถ้าเรามองจาก อ.ศรีเชียงใหม่ข้ามมาก็จะมองเห็นนครหลวงแห่งนี้ดูมีสีสันยามค่ำคืน แต่อาจจะไปสะดุดตาที่เรือเฟอร์รี่สีขาวขนาดใหญ่ในลำโขง เอาแล้วสิ (ปีที่แล้วยังไม่มีเลย) เดาว่าเจ้าของคงเอามาตอบคำถามบางอย่างตามหลัก ดีมานด์ ซัพพลาย เพื่อดึงดูดลูกค้าต่างชาติให้เข้าภัตตาคารเรือเฟอร์รี่ของตน เมื่อผมไปด้อมๆ มองๆ ก็พบว่ามีนักท่องเที่ยวจริงๆ ด้วย 95 เปอร์เซ็นต์เป็นฝรั่ง คิดถึงเจ้าพระยาขึ้นมาตะหงิดๆ  ไม่ขอมีความเห็น เพราะเรือไม่ได้แล่นไปใหน แต่แอบลุ้นในใจว่า ถ้ามาครั้งต่อไปจะเจออะไรอีก


 


มาที่นี่ต้องขอนำเสนอเบียร์ลาวครับ ที่นี่ถือว่าฮอทฮิตมาก ถึงขนาดผลิตไม่พอต่อการส่งออก และคนที่นี่ก็ชอบกินเบียร์โดยเฉพาะวัยรุ่น ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของคนที่นี่เลยก็ว่าได้ เพื่อคนลาวคนหนึ่งของผมพยายามมอมผมด้วยเบียร์ลาว ซึ่งถือว่าประสบผลสำเร็จ เพราะผมก็เมาได้สมใจ ผมชอบเบียร์ลาวจัง ในวงนั้นเองมิตรภาพและเรื่องราวในมุมของคนลาวต่อเมืองลาวก็ถูกถ่ายทอดเป็นน้ำไหลไฟดับ เสียดายที่เมามากไปหน่อยที่จับใจความได้ก็ประมาณว่า คนที่นี่จะรักและเชิดชูรัฐบาลมาก


 


เชื่อฟังท่านผู้นำ และเทิดทูนไว้เหนือหัว ถ้าต้องเข้าไปทำงานอะไรซักอย่างในหมู่บ้านแล้วแสดงบัตรหรือตราของรัฐ คุณจะได้รับการดูแลเทกแคร์เป็นอย่างดีมากมาก เรื่องอาชญากรรมหรือเหตุการณ์ร้ายๆมีน้อยมากเพราะถ้ามีและจับได้ก็จะโดนขังลืมไปเลย ฟังแล้วๆอึ้งๆแต่บรรยากาศในการพูดคุยวันนั้นคิดว่าค่อนข้างโน้มเอียงไปทางชื่นชอบรัฐบาล ผมกลัวว่าสันดานปากเสียของผมจะเผลอไปวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเค้า ยิ่งมีแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดด้วยแล้ว เลยคิดว่าควรรีบจบบทสนทนาและกลับบ้านนอนดีกว่า (ก่อนจะมีใครโดนขังลืม อุอุ)


 


วันถัดมาเพื่อนคนนี้พาผมไปเยี่ยมศูนย์สุขภาพ และพัฒนาวัยหนุ่มนครหลวงเวียงจันทร์ที่นี่ผมคิดว่าเป็นแหล่งบริการที่เป็นมิตรและเข้าอกเข้าใจวัยรุ่นเป็นที่สุด เพราะกิจกรรมที่นี่ตอบสนองความต้องการของวัยรุ่นได้หลากหลายเหลือเกิน เช่น มีการสอนภาษาอังกฤษ มีการสอนการตัดผมและเสริมสวย มีคลินิกเพื่อสุขภาพ ตรวจและให้ความรู้ในเรื่องอนามัยเจริญพันธ์ มีร้านอาหารที่ให้สมาชิกดำเนินกิจการ มีกิจกรรมนอกสถานที่แบบอาสาสมัคร


 


มีกิจกรรมต่างๆ เช่น ดนตรี ศิลปะ อินเตอร์เน็ต เป็นต้น มีหลายคนที่ได้เป็นนักร้องออกอัลบั้ม ก็เติบโตมาจากศูนย์นี้หลายคน (คล้ายๆ เมืองไทย คือดารานักร้องเป็นอาชีพใฝ่ฝันของวัยรุ่นที่นั่น) ข้อมูลที่ได้มาจากวงเบียร์ทำให้ผมสันนิษฐานว่า คงเป็นไปได้ยากที่จะมีกลุ่มเยาวชนการเมือง หรือไม่แน่ อาจจะมี แต่การไปรอบนี้ผมไม่เจอ คิดว่าไม่แปลก เพราะอย่างที่เราเราทราบกันดีว่าคนที่นั่นจะดูทีวีไทย 


 


อิทธิพลของสื่อชนิดนี้ทำให้คนที่นั่นอ่านหนังสือไทยได้ ฟังไทยรู้เรื่อง (แม้จะเขียนไม่ได้) คิดว่าเค้ารับรู้สถานการณ์บ้านเราได้มากเท่าๆ กับเรา เมื่อเป็นเช่นนี้คนลาวก็รับอิทธิพลจากโฆษณา หรือแนวคิด ความเชื่อบางอย่างจากไทยไปโดยปริยาย ถือเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่าในทีวีบ้านเรา โฆษณาชวนเชื่อเกินจริงมันมีมากไป ถ้าเราไม่รู้เท่าทันมันเมื่อไหร่ก็อาจตกอยู่ภายใต้เงื้อมมืออันทรงอิทธิพลของมันได้ง่ายๆ เวลามีการจัดคอนเสิร์ต นักร้องที่เพิ่งออกเทปหรือยังไม่ดังมาก ต้องหูไวตาไวและวิ่งหาผู้จัดงาน เพื่อมาลงชื่อขึ้นแสดง โดยไม่ต้องเสียค่าจ้างให้ ไม่เหมือนที่บ้านเราที่จะต้องจ่ายให้กับนักร้องเป็นหมื่นเป็นแสน


 


กลับมาเรื่องสื่อทีวี เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าสื่อจะพูดถึงประเด็นเรื่องระหว่างไทย-ลาว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคำนึงถึงเรื่องความอ่อนไหวในประเด็นความรู้สึกให้มาก พอๆ กับการระมัดระวังไม่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทักษิน เพราะคนไทยที่มีโอกาสออกสื่อบางคนชอบตัดสินและพูดไม่ดี ถ้าไม่ระวังในประเด็นความสัมพันธ์ไทยลาว ผลที่ตามมาอาจทำให้ คนลาว งอน คนไทยไปเลย ถือเป็นการส่งผลในระดับชาติ ตามทฤษฎีแบบเหมารวม  (อืม...คิดต่อเล่นๆว่าถ้าเป็นอย่างหลังในประเด็นวิพากษ์ทักษิน  ทีวีช่องนั้นอาจจะไม่มีโฆษณาที่มีมาจากธุรกิจในเครือมิตรทักษิณ ดังนั้นผลกระทบก็จะตกไปที่ทีวีช่องนั้น คงไม่กระทบกระเทือนในระดับชาติเท่าไหร่)


 


ก่อนกลับผมแวะซื้อผ้าซิ่นที่ตลาดเช้า ที่นี่ถือเป็นแหล่งชอบปิ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองลาวเลยก็ว่าได้ เพราะมีขายทุกอย่าง ขอย้ำว่าทุกอย่างจริงๆ  ผมชื่นชมในความงามของแม่หญิงลาวที่ไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหนก็จะพบแต่แม่หญิงนุ่งผ้าซิ่นเต็มไปหมด ราคาก็มีตั้งแต่ถูกไปจนถึงแพงมาก  ผ้าซิ่นสวยแต่ไม่กล้าซื้ออันที่สวยมากเพราะราคาก็สูงไปตามคุณภาพความงดงาม คิดถึงประเทศต่อไปที่กำลังจะไปคือจีน เลยคิดว่าเก็บตังค์ไปก่อนดีกว่า ผมคิดว่าผมจะกลับไปลาวอีกหลายครั้ง เพราะไปมาสะดวกสบาย และที่สำคัญไม่แพง


 


ผมเห็นว่าการเดินทางมีประโยชน์ ได้เปิดมุมมอง และความคิดใหม่ๆ การเดินทางที่นี้มีหลายแบบไม่ต้องแพงและยิ่งคนอายุน้อยๆ ยิ่งต้องเดินทางมากๆ


 


ครั้งหน้า ผมจะเล่าต่อถึงทริปเมืองจีน และเวียตนามใน Mae kong’s journey : 2 ครับ