Skip to main content

ประเทศไทยเท่านั้น หนึ่งเดียวในโลก

คอลัมน์/ชุมชน

บอกตามตรงว่า ตอนรู้ข่าวว่าจะมีการรัฐประหารนั้นได้เฝ้าติดตามและโทรฯเช็คข่าวอย่างใกล้ชิดว่าจะสำเร็จหรือไม่ ความรู้สึกก็คงจะเหมือนคนไทยอีกหลายๆ คนที่อยากให้ "ท้ากกกกก....สิน อออออออก.....ไป" คือคิดว่า คงถึงเวลาเสียที แต่อีกใจหนึ่งยืนยันว่า รู้สึกอิหลักอิเหลื่อใจมากถ้าทักษิณต้องออกไปด้วยวิธีนี้ เพราะว่า มาคิดว่าถ้าอย่างนั้นที่สู้อุตส่าห์ไปบาดเจ็บและล้มตายกันตอนพฤษภาคม ปี 2535  หรือ ย้อนไป ตุลาคม 2514 และ 2516 ก็กลายเป็นเรื่องสูญเปล่า แล้วเราก็มาพายเรือในอ่างในเรื่องของการพัฒนาประชาธิปไตย


 


กระนั้น ตอนที่คณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขประกาศความสำเร็จก็แอบโล่งใจว่า อะไรๆ จะได้ชัดเจนเสียหลังจากคลุมเครือมานาน และต่อไปนี้จะได้ไม่ต้องเห็นคนหน้าเหลี่ยมๆ มาพูดภาษาไทยคำฝรั่งคำหลอกประชาชนในโทรทัศน์อีกแล้ว บ้านเมืองก็น่าจะดีขึ้นเสียที และดีใจเป็นที่สุดที่ไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อในการรัฐประหารในครั้งนี้


 


เพื่อนๆ ชาวต่างชาติที่เห็นข่าวจาก CNN หลายๆ คนโทรเข้ามาถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า รุนแรงหรือเปล่า แต่ที่แปลกกว่านั้นที่เขาทำให้เข้าใจได้ยากก็คือ ทำไมมีประชาชนเอาดอกไม้ไปให้ทหารด้วย บอกว่าไม่มีอะไร เป็นการรัฐประหารที่นุ่มนวลดุจใยไหม ที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า Silken Coup และประชาชนเองก็ไม่ได้ต่อต้านทุกคนเข้าใจว่าถึงจุดที่สุกงอมและคาดหวังไว้แล้วว่าเรื่องนี้คงเกิดขึ้น


 


ชาวต่างชาติเลยงงๆ กับคนไทยว่า "ทำไมประชาชนไทยที่ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยมาโดยตลอด กลับดีใจกับการมีรัฐประหารซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดกันอย่างสิ้นเชิงต่อหลักการประชาธิปไตย"


 


ตอนนั้นก็เลยต้องตอบไปว่า ประชาชนทนการคอรัปชั่น และทนเห็นบ้านเมืองเสียหายโดยการปกครองของรัฐบาลนี้ไม่ได้อีกแล้ว และมีการกระทำตั้งหลายอย่างภายใต้ครรลองประชาธิปไตยแล้วทุกๆ อย่างทักษิณก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอยหรือก้าวลงจากอำนาจทางการเมืองเสียที ทางนี้จึงเป็นทางออกเดียวที่มีอยู่ในขณะนี้ (แต่แอบคิดในใจว่ากับอีกวิธีคือ assassination – กรณีคาร์ไม่บ็องส์ ซึ่งออกจะโหดร้ายเกินไปแต่คงไม่ขัดหลักการประชาธิปไตย แต่ (อีกที) แบบนี้ก็ไม่ควรเช่นกัน)


 


มีคำถามต่ออีกว่า อ้าว ก็การเลือกตั้งก็กำลังจะเกิดขึ้นไม่ใช่หรือ ถ้าประชาชนไม่ชอบก็ไม่ต้องเลือกเข้ามาสิ เรื่องนี้คงต้องอธิบายกันยาวว่า สำหรับประชาธิปไตยของไทยนั้นมันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะว่าเอาเข้าจริงๆแล้ว เรามีประชาธิปไตยกันเพียงรูปแบบเท่านั้นไม่ได้เป็นประชาธิปไตยในอุดมคติ หรือในจิตวิญญาณ การเลือกตั้งแต่ละครั้งมีการโกง และทุ่มเงินกันมหาศาล  การได้มาซึ่งการเลือกตั้งแบบบริสุทธิ์ ยุติธรรมและโปร่งใสนั้นยังยากที่จะเห็น ดังนั้นคนที่ได้รับเลือกเข้ามาจึงไม่ใช่ว่าจะเป็นคนที่ใช่เสมอไป


 


มีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า ควรจะบอกกับชาวต่างชาติไปว่า คนไทยนั้นยินดีที่จะอยู่ใต้การปกครองของรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งมือสะอาดมากกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกแต่เต็มไปด้วยทุจริตคอรัปชั่น และมาจากกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยแบบในนามเท่านั้น


 


ดูๆ แล้วคิดว่าประเทศไทยคงจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่ประชาชนไปถ่ายรูปกับรถถังในวันที่มีการยึดอำนาจ เอาข้าวปลาอาหารไปให้ทหารที่ร่วมก่อการ ให้กำลังว่าทำดีแล้ว ทำบรรยากาศของการรัฐประหารให้ดูประหนึ่งเป็นงานวันเด็ก และคงเป็นประเทศเดียวในโลกที่ดีใจทุกครั้งที่มีรัฐประหาร แต่ก็กลับมาเรียกร้องหาประชาธิปไตยกันต่อ


 


คราวนี้ด้วยบทเรียนที่มีมาและด้วยสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป หลังจากความดีใจคลายลงหลายคนก็เริ่มจะออกมาได้คิดว่า แล้วนอกจากท้ากกกกกกสินจะออกไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปกับชีวิตบ้าง


 


แม้คณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจะกระทำการด้วยความนุ่มนวลที่สุด จะพยายามไม่ให้มีความรุนแรงเกิดขึ้น  แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า เนื่องจากยังไม่แน่ใจในกำลังอำนาจว่าจะควบคุมได้แล้วมากน้อยแค่ไหน สิ่งแรกที่ทำก็คือการประกาศใช้กฎอัยการศึก ที่มีอำนาจสิทธิขาดในการควบคุมเรื่องต่างๆ ถึงตอนนี้เองที่มีประกาศต่างๆ ออกมามากมาย เพื่อความสงบเรียบร้อยของชาติ ซึ่งแน่นอนว่า สิทธิและเสรีภาพหลายๆ อย่างของประชาชนต้องเสียไป


 


อาจเป็นได้ว่า  "ไทยนี้รักสงบ" ดังนั้น ก็มีคนจำนวนไม่น้อยก็ยอมรับได้โดยดุษฎีและเห็นด้วยที่จะมีการกระทำอย่างนี้เกิดขึ้น และบรรดาพวกที่ชอบออกมารณรงค์ว่า "รักพ่ออย่าทะเลาะกัน"  คงจะสมใจกระมัง เพราะไม่มีใครกล้าทะเลาะกับใครแล้ว เพราะว่าการชุมนุมเกิน 5 คน เป็นเรื่องผิดกฎหมายไปแล้ว แม้กระทั่งการแสดงความคิดเห็นทางโทรทัศน์และวิทยุก็ถูกห้าม ส่วนในเว็บนั้นแม้บอกว่าขอร้องให้ช่วยดูแลด้วย และถ้ามีการแสดงความคิดเห็นที่ชวนให้เกิดการขัดแย้งก็อาจจะปิดเว็บนั้นได้  ตอนนี้เว็บส่วนใหญ่ก็ยินดีน้อมรับโดยการไม่เปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นท้ายข่าว (ยกเว้นประชาไท- ไม่อยากจะชมกันเองว่า กล้าหาญอย่างน่าชื่นชม)


 


นี่แม้ว่าจะกระทำไปเพื่อความสงบก็จริง และผู้คนก็ยินยอมที่จะถูกลิดรอนสิทธิด้วยความสงบยิ่ง และการจำกัดสิทธิแบบนี้ไยมิใช่การสร้างความอึดอัดให้เกิดขึ้นกับประชาชนอีก ไยมิใช่กระทำการเช่นเดียวกับรัฐบาลที่ไปยึดอำนาจที่เราเคยกล่าวหาว่า เข้ามาแทรกแซงสื่อ  เข้าใจได้กับประเด็นห้ามชุมนุมทางการเมืองในสถานการณ์ที่ล่อแหลมเช่นนี้ ว่าเป็นการหลีกเลี่ยงการเกิดการปะทะและความรุนแรง แต่ผู้คนควรมีพื้นที่ในการแสดงออกบ้าง เมื่อวิทยุและโทรทัศน์ก็ไม่สามารถจะเป็นพื้นที่ให้คนแสดงความคิดเห็นได้แล้ว เว็บบอร์ดจึงเป็นพื้นที่เดียวจะช่วยผ่อนคลายความอึดอัดของประชาชนได้ แต่ก็กลับไม่สามารถทำได้อีก


 


ตอนนี้หลายคนก็เริ่มเข้าใจได้ว่าการที่สื่อถูกแทรกแซงจะมีผลเสียอย่างไรต่อประชาชน ได้มีนักเคลื่อนไหวต่างๆ และนักวิชาการจำนวนหนึ่งออกมาเรียกร้องเสรีภาพให้สื่อ แต่เท่าที่ดูก็ไม่เห็นสื่อจะทำอะไรให้ตัวเองเลย ต่างยินดีที่จะเซ็นเซอร์ตัวเองก่อนที่จะถูกเซ็นเซอร์ด้วยซ้ำ และเข้าใจดีว่าจะต้องจัดการกับตัวเองอย่างไร ด้วยข้ออ้างพร้อมที่จะให้ความร่วมมือเพื่อความสงบเรียบร้อยของชาติ


 


นอกจากนั้นแล้วการที่ประชาชนยินดีที่จะอยู่ในความสงบภายใต้การควบคุมแบบนี้ มันสะท้อนความเชื่อบางอย่างคนไทยได้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้วคนไทย คงเพียงเป็นประเภทชอบความสงบและรักความสบาย เป็นประเภท "อะไรก็ได้ สบายๆ" แม้ปากจะพูดตลอดว่า เราต้องการประชาธิปไตย แต่จริงๆ ระบอบใดก็ได้คงไม่สำคัญสำหรับคนไทยหรอก เพราะคนไทยยึดอยู่กับตัวบุคคลมากกว่าติดกับระบอบ  และเราก็พอใจกับนายกรัฐมนตรีที่มาจากการแต่งตั้งมากกว่าเลือกตั้งเสมอ ลองย้อนกลับไปดูในอดีตได้เลย  แม้ว่าเรายินดีที่จะได้เลือกตั้ง แต่ก็ยินดีต้อนรับการก่อรัฐประหาร


 


หลายชาติออกมาประณามการก่อรัฐประหารในไทย เข้าใจว่าคงจะเป็นแบบเดียวกับพม่าหรือประเทศเผด็จการอื่นๆ  และคนไทยก็โกรธว่าไม่เข้าใจบริบทของประเทศเรา  ก็ในเมื่อประเทศเราสุดแสนจะพิเศษ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกปานนี้ ใครเลยจะเข้าใจได้