Skip to main content

นอกหน้าต่าง

คอลัมน์/ชุมชน

เมื่อยังเด็ก...เวลานั่งอยู่บนรถประจำทาง  ที่ทางแถบถิ่นบ้านผมเราเรียกมันทับศัพท์ภาษาฝรั่งว่ารถบัส  ซึ่งก็เป็นรถเมล์สีส้ม เปิดหน้าต่าง ยามจอดที ก็ร้อนตับแลบ ยิ่งถ้าจอดนาน มันก็ยิ่งทุรนทุราย  กระนั้น เวลาที่ได้นั่งอยู่ริมหน้าต่าง  มองออกไปเราจะเห็นต้นไม้ข้างทางวิ่งตามเรามา แต่จนแล้วจนรอด ต้นไม้ก็วิ่งตามเราไม่ทัน  แล้วเราก็วิ่งแซงมันไป และไปเจอต้นไม้ต้นต่อไป และต่อไป  แต่ทั้งหมดนั้นมันก็วิ่งตามเราไม่ทัน นั่นก็พอเราหยุดวิ่ง ต้นไม้ก็หยุดวิ่งเช่นเดียวกัน  อันที่จริง นอกจากต้นไม้ มันก็รวมไปถึงอย่างอื่นด้วยไม่ว่าจะเป็นไร่ นา ภูเขา หมู่บ้าน ถึงไกลออกไป  เมฆสีขาวตรงขอบฟ้า.... 


 


ว่าไปมากกว่านั้น ถ้านึกให้ดี  ทุกครั้งที่เรามองไปที่ขอบฟ้า ในวันที่ไร้เมฆฝน หรือหมอกหนาว เราก็มักเห็นเมฆสีขาวอยู่ตรงขอบฟ้าเสมอ โดยเฉพาะในแถบถิ่นทุ่งนาที่ขอบฟ้ากว้างนัก  แต่ในถิ่นภูเขาที่ขอบฟ้าตีวงแคบเข้ามา ก็อาจจะได้เห็นน้อยลง  และนั่นก็อาจจะเป็นภาพที่ปรากฏในความทรงจำเมื่อเราได้หวนนึกไปถึงหน้าต่างสักบาน  บานที่ได้ต่อเติมเสริมสร้างจิตนาการของเราแต่เยาว์วัย...


 


หลายครั้งหลายคราเมื่อเรานึกภาพ เด็กช่างฝัน เรามักเห็นเด็กหญิง หรือเด็กชาย นั่งเกาะขอบหน้าต่าง  กับสายตาที่เหม่อมองออกไปภายนอก อาจบางครั้งก็เหม่อมองด้วยสายตาเหม่อลอยเลยทีเดียว  อาจจะใช่ว่า บางครั้งสิ่งที่พวกเขามองอยู่ กลับไม่ใช่ภาพที่อยู่ข้างหน้า นอกหน้าต่างนั้น  แต่เธอหรือเขาอาจกำลังมองภาพภายในใจต่างหาก หากว่าพวกเขาหรือเธอทอดสายตาอันเหม่อลอยออกไป นั่นก็อาจจะหมายถึง ภาพที่ปรากฏในจิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึกของพวกเขา มันชัดเจนยิ่งนัก  แล้ว หรือ ทำไมต้องเป็นหน้าต่าง  (หรืออาจจะเป็นระเบียง)  นั่นสิ  ทำไมต้องเป็นหน้าต่าง.....  ลองสืบค้นกันสักนิดเป็นไร......


 


คล้ายกับว่า ความจริง เราทุกคนน่าจะมีความทรงจำเกี่ยวกับหน้าต่างอยู่บ้างไม่มากก็น้อย  ในมุมของใครก็ของใคร  ความทรงจำของผมเริ่มที่หน้าต่างรถบัส และหน้าต่างห้องเรียน  ส่วนสำคัญของหน้าต่างสำหรับเด็กช่างฝันมันอาจจะเป็น การเบือนหน้าออกไปจากความคุ้นชินเดิมๆ เพื่อหาภาพใหม่ๆ เบื้องหน้า  หาแรงบันดาลใจใหม่ๆ  ต่อเติมจินตนาการ  เพราะเมื่อเราอยู่ในห้อง ซึ่งหากสมมติว่ามันคือโลกใบหนึ่ง  ขณะนั้น  เมื่อเราอยู่ในโลกใบเดิมนั้นนานเข้าเราก็อยากแสวงหา อยากเห็นโลกใหม่ ซึ่งมันอยู่นอกเหนือจากความคุ้นชินของเรา  และเมื่อนั้น หน้าต่างก็เป็นทางเดียวที่จะเปิดออกไปสู่โลกภายนอก  หรือถึงไม่เปิด หน้าต่างก็นำเสนอภายภายนอกเข้ามา นอกจากภาพจริงแล้ว หน้าต่างยังได้ฉายภาพในจินตนาการเข้ามาด้วย  ชั้นนี้นึกถึง โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง  วรรณกรรมเยาวชนที่น่ารักที่สุดเรื่องหนึ่ง 


 


สำหรับคนเดินทาง...คงไม่บ่อยนักกระมังกับการได้กลับมานั่งริมหน้าต่างบ้าน หรือห้องนอนอันแสนสบาย  หลายครั้งหลายคราเราก็ได้นำพาตัวเองไปนั่งเหม่ออยู่ริมหน้าต่างรถไฟบ้าง รถบัสบ้าง หรือกระทั่งรถสองแถว  ช่วงเวลาหนึ่ง ผมได้มีโอกาสนั่งอยู่ริมหน้าต่างรถไฟสาย บางกอกน้อยถึงสถานีน้ำตก  ทางรถไฟสายที่สวยมากสายหนึ่งและเป็นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์สงครามโลกด้วยนั่นเอง  ผมเดินทางโดยรถไฟสายนี้บ่อยๆ ในช่วงปีนั้น  มันเป็นรถไฟสายที่ราคาไม่แพง เหมาะแก่นักเดินทาง ที่โหยหาการเดินทางแต่จน  แล้วคนก็ไม่เยอะ บรรยากาศจึงดีมาก  จากหน้าต่างรถไฟสายนั้น สายเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก  ทำให้ได้เห็นทัศนียภาพ จากมุมเดิมๆ ที่มันเปลี่ยนบุคลิกภาพไปตามฤดูกาล  ดอกหญ้าในฤดูหนึ่งหายไป กลายเป็นผืนดินที่ว่างเปล่า สักพักมันก็อาจจะกลายไปเป็นไร่อ้อย ทุกครั้ง...จากมุมมองเดิมนั้น ณ ผืนแผ่นดินเดียวกันนั้น เราเห็นเรื่องราวใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ  และในภาวะนั้นๆ  มันก็คือภาพความงามในความจริงของสรรพสิ่ง ของโลกใบนี้...


 


หน้าต่างบานหนึ่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ของผม...  คือรถเมล์สาย เชียงใหม่ – ปาย  นั่นก็เป็นสายที่คุ้นเคย นอกหน้าต่างครั้งนี้  ภูเขาในฤดูฝน  ต้นไม้ใบดก สด เขียว  เมื่อมองออกไป  ผมเห็นหน่อไม้ที่แทงหน่อโผล่พ้นผิวดินบนภูเขา  ต้ม หรือแกงหน่อไม้อันยาวนาน กินกันจนหน้าจะเป็นหน่อไม้  เห็ดสีขาวผุดขึ้นตา แกงเห็ดแสนอร่อยในหมู่บ้านบนภูเขา  ทางเดินที่เละลื่น เสื้อผ้าที่เปราะไปด้วยโคลน และบางแห่งที่ซักไม่ออก ต้นข้าวกำลังส่ายใบล้อกับสายลม รับเล่นกับหยาดฝนที่พร่างพรมลงมา  กองไฟอุ่นในเรือนกับเหล้าต้มคลายหนาว  ลำห้วยที่น้ำขุ่นข้นไหลโครมครามลงมาสู่แม่น้ำเบื้องล่าง 


 


ขณะนั้น รถเมล์ยังคงวิ่งไปตามหนทางอันคดเคี้ยวบนภูเขา  ด้วยสายฝนที่ถั่งเทลงมาตลอดเวลา  นั่นคือภาพที่ผมเห็นเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง  แล้วผมก็เห็นหน้าต่างบานอื่นๆ อีกมากมาย ที่ผ่านมาในชีวิต....