ค่ำคืนแห่งการรัฐประหาร
คอลัมน์/ชุมชน
สุเจน กรรพฤทธิ์
19 กันยายน 2549 21.30 น.
เสียงโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้นขณะที่นั่งผ่อนอารมณ์อยู่ในที่พักแห่งหนึ่งใกล้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
"นายได้ข่าวปฏิวัติไหม"
"ไม่เห็นรู้เรื่องเลย เอาอะไรมาพูด ข่าวลือมั้ง"
"เออ ตรวจสอบข่าวให้ดี ลือทั่วกรุงเทพฯ เลยตอนนี้"
ผมละโทรศัพท์ ไปอาบน้ำและยังไม่คิดอะไรมากมาย เพราะรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่สร้างปัญหามาตลอดสี่ซ้าห้าปีนี้ อย่างไรก็ดีผมเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นจากพลังประชาชน มิใช่จากวิธีแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ที่ไม่มีความยั่งยืนอย่างเช่น การปฏิวัติรัฐประหาร
22.00 น. ผมพบว่าทีวีขึ้นรูปทักษิณ ชินวัตร พร้อมข้อความ "ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน" พร้อมกับเสียงแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีที่ประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และสั่งปลด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จาก ผบ.ทบ. โดยให้เข้ามารายงานตัวกับ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี ทันที
งงและอึ้ง ด้วยไม่คิดว่านายทักษิณกล้าประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ในเขตเมืองหลวง เพราะนั่นหมายถึงการจำกัดการชุมนุมและอำนาจทั้งหมดจะตกอยู่กับนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงการปลดผู้บัญชาการทหารบกกลางอากาศ
แต่สัญญาณก็ถูกตัดในทันที พร้อมมีเพลงพระราชนิพนธ์เปิดค้างอยู่เกือบทุกช่อง ผมรู้สึกได้ทันทีว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นบางอย่างในกรุงเทพฯ และข่าวสารทั้งหมดของเรากำลังจะถูกปิดกั้น
ไปดูที่ CNN จึงทราบว่า ขณะนั้นมีข่าวว่ารถถังวิ่งอยู่ในกรุงเทพฯ ทั่วไปหมด โดยเฉพาะจุดสำคัญคือ ถนนราชดำเนิน ทำเนียบรัฐบาลนั้น รายงานระบุชัดเจนว่ามีรถถังเข้ามาประจำการ ขณะที่ตัวทักษิณเองนั้นอยู่ในนิวยอร์คเพื่อประชุมสมัชชาใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ
ผมพยายามตรวจข่าวจากเพื่อนและรุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ในสายสื่อมวลชนก็พบว่า ขณะนั้นเป็นเกมการต่อสู้กันทางสื่อ โดยทักษิณอ่านแถลงการณ์ผ่านโทรศัพท์ข้ามประเทศมาที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ขณะที่โทรทัศน์ช่องอื่นปฏิเสธสัญญาณด้วยถูกกำลังทหารควบคุมเรียบร้อยแล้ว โดยมี ททบ.5 เป็นช่องแรก
กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ผมไม่คิดว่าบรรยากาศที่ผมเคยเจอสมัยเรียน ป.5 จะกลับมาอีกในยุคที่เรามีรัฐธรรมนูญร่างจากประชาชนบังคับใช้
20 กันยายน 2549 .รุ่งเช้า
ภาพจากกรุงเทพธุรกิจ
ผมพบว่าหลายคนสะใจที่รักษาการณ์นายกรัฐมนตรีตกจากเก้าอี้โดยปากกระบอกปืน
แต่ผมกลับเศร้าใจ ทั้งที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าของนายกฯ ทักษิณนัก
ด้วยไม่เคยเชื่อน้ำยาของคณะทหารที่แม้ว่าจะใช้ชื่อสวยหรูอย่างไรก็ตาม แต่ความจริงคือ พวกเขาเข้ามายึดอำนาจด้วยวิธีการเช่นนี้จากรัฐบาลที่มาตามระบบประชาธิปไตย (แม้ว่าบางความรู้สึก ผมคิดว่ามันมาจากประชาธิปไตยแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนส่วนหนึ่งในสังคมไทยจนทำให้เราต้องเผชิญสถานการณ์ที่เกิดขึ้น)
ภาพเมื่อ 15 ปีก่อนที่ พล.อ.
เวลานั้น แม้ประชาชนไม่ได้แสดงออกว่าสนับสนุนโดยไปมอบดอกไม้และถ่ายภาพเป็นที่สนุกสนานเหมือนเวลานี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ มีการเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้ง พล.อ.
สิ่งที่ตามมาคือ คลื่นมหาประชาชนในเหตุการณ์ "พฤษภาประชาธรรม" เมื่อปี 2535 สังเวยชีวิตวีรชนไม่รู้เท่าไร เพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่มาตามระบอบประชาธิปไตย
เสียเวลาอีกเกือบ 10 ปี เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิเสรีภาพกว้างขวางที่สุดทางการเมือง แม้ว่ามันจะมีจุดด้อยที่ต้องแก้ไขอยู่หลายจุดก็ตาม
วันวานคนไทยเดินหน้ามา 15 ปี .และวันนี้ถอยหลังไปจุดเดิม
แน่นอน รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร โกงขนาดไหน ล้วงลูกระบบราชการขนาดไหน ขายชาติขนาดไหน คนไทยต้องออกมาไล่เอง ทหารไม่มีความจำเป็นต้องเอากระบอกปืนออกมาช่วยไล่
อย่ามาอ้างว่าไม่มีทาง เพราะถ้าอ้างเช่นนั้นแสดงว่าคุณไม่เชื่อพลังประชาชน และกระบวนการเรียนรู้ของประชาชน
ผมคิดเช่นนี้ตลอด เมื่อเกิดเหตุการณ์สนธิ ลิ้มทองกุลนำประท้วง ผมไปร่วม แต่ผมไม่เคยสนับสนุนมาตรา 7 ที่เขาเสนอ
แต่เมื่อ คปค. หรือ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทำไปแล้ว และนายสนธิออกมาสนับสนุน ในฐานะคนตัวเล็กๆ อย่างผม ก็คงทำอะไรไม่ได้อีก
20 กันยายน 2549 สายวันนั้น คปค. มีคำสั่งยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่ร่างมาด้วยเลือดเนื้อของวีรชน
ในฐานะคนทำงานสื่อ ขอเรียกร้องให้ คปค. คืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด และเริ่มต้นระบบการเมืองในระบอบประชาธิปไตยใหม่อีกครั้ง ยุติคำสั่งที่ห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คนโดยทันที หยุดการให้เหตุผลควบคุมการเสนอข่าวและส่งเอสเอ็มเอสเพื่อ "ความสมานฉันท์" เสียที เพราะในระบอบประชาธิปไตย เราอยู่กันได้ด้วยความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย และการวิพากษ์วิจารณ์เป็นสำคัญ
อย่าอ้าง "ความสมานฉันท์" บังหน้าการควบคุมสื่อ เพราะนี่คืออาวุธประชาธิปไตยชิ้นเดียวภายใต้การปกครองโดย คปค. ซึ่งคนไทยมีอยู่ในตอนนี้
ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า คุณคือคณะบุคคลกลุ่มเล็กๆ อันทรงอำนาจโดยที่ประชาชนเดินดินธรรมดาอย่างผมไม่ทราบเจตนาที่แท้จริงของพวกท่านว่าคืออะไรที่ทำเช่นนี้
หลายทศวรรษก่อน นักหนังสือพิมพ์ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า
" เสรีภาพของหนังสือพิมพ์ เป็นอันหนึ่งกันเดียวกับเสรีภาพของประชาชน
เมื่อเสรีภาพของหนังสือพิมพ์ถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน โดยข้ออ้างกฎหมายที่ไม่เป็น
ประชาธิปไตย ประชาชนก็ขาดอาวุธอันสำคัญและจำเป็นเพื่อป้องกันเสรีภาพของเขา
เสรีภาพของประชาชนในประการต่างๆ ก็จะถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนไปด้วย"
ห้วงเวลานี้ ผมคิดถึง "กุหลาบ สายประดิษฐ์" เสียจับใจ เมื่ออ่านงานของคอลัมนิสต์บางคน