คณะปฏิรูปการปกครอง ; คิดผิด ทำผิด (2) เสียงที่แตกต่าง
คอลัมน์/ชุมชน
-1-
คำถามของท่านทูตแห่งประเทศออสเตรเลียต่อคณะปฏิรูปการปกครองฯ เมื่อหลายวันก่อน มีความน่าสนใจและตรงประเด็นอย่างมาก ท่านถามว่าอย่างนี้ครับ
"ใครเป็นคนชวนให้ทำการปฏิรูปในครั้งนี้ในเมื่อสถานการณ์กำลังคลี่คลายลง เพราะมีกกต.จัดการเลือกตั้งแล้ว"
พล.อ. สนธิ บุญยรัตนกลิน ท่านตอบว่า
"คนที่ชวนผมมาปฏิรูปคือประชาชน คนไทยส่วนใหญ่ที่เรียกร้องให้เราลุกขึ้นมาจัดการปัญหาประชาธิปไตยที่ไม่ใช่อำนาจของปวงชน เพื่อประชาชน เราเลยต้องลุกขึ้นมา ส่วนกกต. มันคนละเรื่องกัน" (ข่าวสด. 21 ก.ย. 49, หน้า 14)
นักการเมืองชอบอ้างประชาชน นักวิชาการก็ชอบอ้างประชาชน ดังนั้นคงจะไม่แปลกอะไรหากทหารจะอ้างประชาชนบ้าง แต่การใช้คำว่า "คนไทยส่วนใหญ่" ของพล.อ.สนธินั้นน่าจะมีคลาดเคลื่อน เพราะไม่มีใครสามารถอ้างได้หรอกว่าคนไทยส่วนใหญ่ต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ ผมคุยกับคนจากทางภาคอีสานที่ขับรถแท็กซี่อยู่ในกรุงเทพ เขาก็บอกว่าคนอีสานเกิน 90 เปอร์เซ็นต์ เขาชอบทักษิณทั้งนั้นและอย่างน้อยที่สุดหากดูจากผลการเลือกตั้งเราก็จะพบว่า "คนไทยส่วนใหญ่" เขาเลือกทักษิณและไทยรักไทยต่างหาก
หากเรามองโลกในแง่ดีโดยแสร้งทำเป็นเชื่อตามคำตอบของพล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน ก็จะพบว่าการยึดอำนาจในครั้งนี้เกิดจากเจตนาดีของผู้หลักผู้ใหญ่ ที่ต้องการฟื้นฟูความสามัคคีของคนในชาติ (เจตนาที่จะยึดอำนาจเพื่อฟื้นฟูความสามัคคีของคนในชาติที่ว่ากันว่าก่อตัวเตรียมการมาตั้ง 8 เดือนแล้ว)
หากแต่นักปราชญ์ใหญ่อย่าง Gramsci เคยบอกว่า "Optimist in our heart and pessimist in our minds" (หัวใจเราควรจะมองโลกในแง่ดี ส่วนสมองนั้นควรจะมองโลกในแง่ร้าย) แล้วผมเลือกที่จะเชื่อคนที่มีปัญญามากกว่าคนที่มีรถถัง เพราะปัญญาช่วยให้คิดวิเคราะห์แยกแยะได้ว่าอะไรคือเจตนาดี อะไรคือลมปาก และอะไรคือข้ออ้าง
การยึดอำนาจในครั้งนี้ไม่ได้ยึดจากทักษิณ ไม่ได้ยึดจากรัฐบาลอย่างที่นักเต้าข่าวพูดกัน แต่เป็นการยึดอำนาจจากประชาชนซึ่งใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งส.ส.ทั้งหลายเข้ามา ดังนั้นมันจึงดูแปลก ๆ และเข้าใจได้ยากมากหากบอกว่าการยึดอำนาจ เป็นไปเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน!
-2-
ใครที่ดูข่าวโทรทัศน์ช่วงนี้คงจะเกิดอาการเหมือนผมคือ หงุดหงิดรำคาญใจอย่างมาก เพราะสื่อโทรทัศน์ทุกช่องพากันสรรเสริญสดุดีความดีงามของการยึดอำนาจของคณะปฎิรูปการปกครองฯ ราวกับว่าเทพเจ้ามาโปรด
แต่ในหนังสือพิมพ์พอจะเห็นอะไรที่ต่างออกไปบ้าง มันอาจจะเก่าไปสักหน่อยที่ผมจะหยิบเอาความคิดของนักการทูตและนักการเมืองต่างชาติที่ไม่ชอบการยึดอำนาจในหนนี้ที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ฉบับวันที่ 21 กันยายน 2549มาเสนอซ้ำอีกครั้งเพื่อให้เห็นเสียงที่แตกต่างไปจากสื่อสำนักอื่น ๆ (แต่ความคิดของนักการเมืองต่างชาติจะเป็นคนละเรื่องเลยหากถูกนำเสนอโดยโทรทัศน์ช่องทหาร)
หน้า 13 ของเดลินิวส์เขียนว่า "สำหรับปฏิกิริยาจากผู้นำทั่วโลกจากเหตุการณ์ยึดอำนาจในครั้งนี้ส่วนใหญ่จะออกมากล่าวประณามการรัฐประหารโดยกองทัพ..
เริ่มที่นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ให้สัมภาษณ์ผ่านทางซีเอ็นเอ็นว่าการรัฐประหารโดยกองทัพเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะไปส่งเสริมหรือสนับสนุน องค์การสหประชาชาติสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลผ่านกระบวนการในระบอบประชาธิปไตยด้วยการเลือกตั้ง...
"ด้านนายจอห์น โฮเวิร์ด นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวถึงเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทยว่าเป็นการถอยหลังเข้าคลอง ขณะที่นายอเล็กซานเดอร์ ดาวเนอร์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่าออสเตรเลียวิตกอย่างมากกับการโค่นอำนาจรัฐบาลไทยซึ่งถือว่ายอมรับไม่ได้...
"นางมาร์กาเร็ต เบคเค็ตต์ รมว. ต่างประเทศอังกฤษ กล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษไม่ยินดีกับการก่อรัฐประหารของกองทัพในประเทศไทยเพื่อโค่นอำนาจรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร...
"นายแมตตี ฟานฮาเนน นายกรัฐมนตรีแห่งฟินแลนด์ในฐานะประธานหมุนเวียนของกลุ่มสหภาพยุโรป หรืออียู กล่าวว่า อียูขอเรียกร้องให้ไทยฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาโดยเร็วอย่างไม่ต้องรีรอ หลังจากเกิดเหตุรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล เป็นที่น่าเสียอย่างยิ่งที่สถาบันในระบอบประชาธิปไตยถูกโค่นอำนาจโดยกองทัพ...
"นายทาโร อาโซ รมว. ต่างประเทศญี่ปุ่นกล่าวว่า เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่กองทัพยึดอำนาจการปกครองในประเทศไทย รัฐบาลญี่ปุ่นได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่ง ญี่ปุ่นหวังว่าไทยจะเร่งปรับสถานการณ์ให้กลับคืนสู่สภาพปกติ และรื้อฟื้นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว นอกจากนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นยังเตือนชาวญี่ปุ่นว่าอย่าเพิ่งเดินทางมาประเทศไทยในขณะนี้
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเอเชียร่วมกับกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ เช่น ฮิวแมนไรท์ วอท์ช กล่าวประณามการก่อรัฐประหารในประเทศไทย และเรียกร้องให้กองทัพคืนอำนาจให้กับรัฐบาลรักษาการของพลเรือนโดยเร็วที่สุด นอกจากนั้น ยังเรียกร้องให้ที่ประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก และสมัชชาสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติที่นครเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ร่วมประณามเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย"
นี่คือเสียงที่แตกต่างไปจากเสียงของคณะปฏิรูปฯ (ซึ่งนั่งหน้าสลอนอยู่ในจอโทรทัศน์ราวกับรัฐบาลสลอคของประเทศพม่า) และแตกต่างไปจากเสียงของผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ซึ่งถูกแทรกแซงอย่างตรงไปตรงมาโดยคณะปฏิรูปฯ
ผมเชื่อว่ามีคนไทยจำนวนมากคิดต่าง เห็นต่างไปจากคณะปฏิรูปฯ เพียงแต่ไม่มีช่องทางแสดงออก เพราะถูกรถถังปิดปากเอาไว้
แต่จากนี้ ผมหวังว่าจากนี้ไปเสียงที่แตกต่างไปจากคณะปฏิรูปฯ ก็จะดังขึ้น ดังขึ้น และดังขึ้น และดังมาจากทุกทิศทุกทาง มีคนเดียวก็ส่งเสียงคนเดียวครับ, มี 2 คนก็ส่งเสียงกัน 2 คน, มี 3 ช่วยกันส่งเสียงที่แตกต่าง, ฯ ขอเชิญชวนคนที่หัวใจยังหนุ่มยังสาว (เพราะเราเห็นแล้วว่าคน "หัวใจแก่" ไว้วางใจไม่ได้) คนหนุ่มสาวหัวใจมาร์กซ์ และทุก ๆ คนมาช่วยกันเปล่งเสียงที่แตกต่างเพื่อขับไล่ "คนรวบอำนาจตัวจริง เสียงจริง" ออกไปโดยเร็ว.
โปรดอ่านอีกครั้ง... ขอเชิญชวนคนที่หัวใจยังหนุ่มยังสาว คนหนุ่มสาวหัวใจมาร์กซ์ และทุกๆ คนมาช่วยกันเปล่งเสียงที่แตกต่างเพื่อขับไล่ "คนรวบอำนาจตัวจริง เสียงจริง" ออกไปโดยเร็ว.