Skip to main content

ดอกไม้ ปืน รถถัง กับ "บางอย่าง" ในใจ...

คอลัมน์/ชุมชน

ความแตกตื่นเรื่องการปฏิวัติรัฐประหาร ที่มาในชื่อว่า "การปฏิรูป" ของ "คนไทย"  ดูจะลดกระแสลงไปแล้วตามอารมณ์และจริตนิสัย หลงเหลือเพียง "ความเป็นไทยๆ" หรือ "ท่าทีไทยๆ" บางประการ ที่ส่งผลให้ต่างชาติต่างภาษา ทั้งในแผ่นดินไทย และต่างบ้านต่างเมือง พากันงุนงงสงสัยได้อย่างต่อเนื่อง ชนิดแทบเข้าใจไม่ได้ ว่าเกิดอะไรขึ้น?  และเป็นไปเช่นนี้ได้อย่างไร


 


กล่าวคือ หลังจากความตระหนกตกใจของฝรั่ง(ที่คิดอย่างฝรั่ง)ว่า วันนี้....นี้... บ้านเมืองที่ออกจะทันสมัย แปะยี่ห้อประชาธิปไตย ชนิดไม่น้อยหน้าใครในโลก อย่าง "ประเทศไทย" ยังมีแก่ใจ "เปลี่ยนแปลงการปกครอง" อย่างชนิดคร่ำครึคร่ำคร่า ประเภท "ทหารยึดอำนาจ" กันได้อีกละหรือ?


 


 พากันใจสั่นขวัญหายจนตลาดหุ้นทุกกระดานบรรดามีในโลกร่วงระนาวมาได้ระยะหนึ่ง "ฝรั่ง-ต่างชาติ" ก็ถึงแก่กาล "ฮือฮา-สับสน-อลหม่าน" ขึ้นมาอีกด้าน เมื่อพบ ว่าในเหตุการณ์สยองขวัญคนรักสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยทั่วโลกครั้งนี้ นั้น ยังมีคนไทยจำนวนไม่น้อย ที่พากันยินดีปรีดากับการรัฐประหารอย่างออกนอกหน้า ทั้งที่เป็นคนชั้นกลาง คนชั้นสูง และคนรุ่นใหม่ในระดับ นักศึกษา-ปัญญาชน-คนทำงาน ฯลฯ อย่างน้อยก็ในเมืองกรุง ใจกลางประเทศไทยนี้เอง


 


แน่ล่ะ ที่อาจกล่าวได้ว่า คนกลุ่มนั้นมิใช่ "ตัวแทน" ของคนไทยทั้งหมด และยิ่งมิใช่ตัวแทนของคนไทยทุกภาคส่วน แต่ขณะเดียวกัน คงปฏิเสธไม่ได้ถึงความ "มีอยู่" และ "น่าจะมีไม่น้อย" ของ "คนประเภทนั้น" ดังที่สำนักโพลบางแห่งระบุว่า มีถึงกว่าร้อยละ ๘๐ ของกลุ่มตัวอย่าง(จำนวนกว่า ๔,๐๐๐ ราย) จากทั่วประเทศ ที่ตอบคำถามทำนอง "พึงพอใจ" ในการรัฐประหารแห่งคริสตศตวรรษที่ ๒๑ นี้


 


ที่ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือการหอบลูกจูงหลาน การชวนเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง ออกไปถ่ายรูปกับรถถังและบรรดาอาวุธ ตลอดจนเหล่าพี่น้องทหารหาญ กันทุก จุดตรวจ-จุดประจำการ ทั้งในและนอกกรุงเทพมหานคร


 


ไม่นับรวมอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนช่อดอกไม้และของขวัญ ไปจนถึงพวงมาลัยดอกไม้สด-ดอกไม้แห้ง ที่เด็กๆ หนุ่มสาว คนเฒ่า-คนแก่ พากันหยิบยื่นให้กับกองกำลังติดอาวุธ ท่ามกลางบรรยากาศการปฏิวัติ ประกาศกฏอัยการศึก ซึ่งมีคำสั่งและแถลงการณ์จำกัดสิทธิ์ผู้คนสารพัด รวมถึงการจับกุมคุมขังตัวบุคคลสำคัญในรัฐบาลคณะก่อน ตลอดจนการใช้ชีวิตในต่างประเทศ ด้วยเหตุไม่มั่นใจว่า ถ้ากลับมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับตนและครอบครัว ตลอดจนคนรอบข้าง ของ พ...ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเคยได้ชื่อว่ามีสมาชิกพรรค และมีคะแนนนิยมต่อพรรค วัดจากการลงคะแนนเลือกพรรค มากกว่าใครๆ ในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้


 


เพื่อนชาวต่างประเทศของผู้เขียน สอบถามมาทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ว่าคนที่แสดงตนว่าชื่นชอบ และขอบคุณทหาร ตลอดจนการปฏิวัติ(รัฐประหาร)..เหล่านั้น ทราบกันบ้างหรือไม่ ว่าเขา (และเธอ) กำลังทำอะไรอยู่? และกำลังกระทำต่อใคร?


 


กล่าวคือ ผู้คนจำนวนไม่น้อยเหล่านั้น "ทราบหรือไม่?" ว่า "การรัฐประหาร" ทำให้เกิดอะไรขึ้น.. เปลี่ยนแปลงสิ่งใดไปบ้าง และทำลายสิ่งใดไปบ้าง?


 


เขาสอบถามผู้เขียนด้วยว่า ปรากฏการณ์นี้ ส่อแสดงให้เห็นใช่หรือไม่ ว่าคนไทย (จำนวนหนึ่ง) ไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตย ไม่เข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพ ไม่เข้าใจคุณค่าของการมีส่วนร่วม และไม่เข้าใจพัฒนาการ หรือวิวัฒนาการทางสังคม ว่าควรก้าวไปสู่จุดใด โดยต้องก้าวผ่าน หรือด้วยการสร้างสมสิ่งใดบ้าง?


 


นอกจากนั้น กัลยาณมิตรคนเดิม ยังถามอีกด้วยว่า ผู้ปกครองของเด็กและเยาวชนชาวไทยไม่ฉุกคิดบ้างละหรือ ว่าการส่งเสริมให้บุตรหลาน ใกล้ชิดกับบรรดาอาวุธร้ายแรง และบุคคลในกองกำลังติดอาวุธ ในบรรยากาศของการยึดอำนาจ และการฉีกรัฐธรรมนูญ(ซึ่งเป็นผลผลิตของการเสียสละชีวิต-เลือดเนื้อ ของวีรชน ในการต่อต้านเผด็จการเมื่อทศวรรษกึ่งก่อนหน้านี้) ทิ้งเสีย นั้นถือเป็นการเพาะหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความรุนแรง และส่งเสริมให้บุตรหลานของตนยอมรับ หรือยินดี ต่อการใช้กำลังและอาวุธเข้าแก้ปัญหาประเทศชาติ อย่างไม่อาจให้อภัยได้


 


เขากล่าวในที่สุดว่า "คนเดือนตุลาฯ" เป็นผลผลิตจาก "เดือนตุลาฯ" ฉันใด "เด็กเดือนกันยา" ก็จะเติบโตขึ้น "พร้อมกับ" หรือ "ด้วยการ" ซึมซับรับเอา ทั้งท่าที วิธีคิด และจิตใจ จากผู้ปกครองและสังคมรอบข้าง เข้ามา "ปลูกฝัง" ไว้ในใจฉันนั้น


 


ผู้เขียน ในฐานะพระภิกษุรูปหนึ่ง ในบวรพระพุทธศาสนา(ไทยๆ) คงไม่บังอาจ หรือไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะอธิบายเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ให้กับใครๆ โดยเฉพาะคนต่างชาติ-ต่างภาษา ได้โดยง่าย ด้วยเห็นว่าเกินกำลัง และอาจไม่เหมาะกับ กาละ-เทศะ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หรือหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ จึงได้แต่อธิบายไปกว้างๆ ว่า


 


คนไทยและสังคมไทยนั้นมีลักษณะจำเพาะอยู่มาก และบางประการของลักษณะเช่นนั้น ก็มิได้ขึ้นอยู่กับกาลเวลา หรือยุคสมัย สักเท่าใดนัก ดังจะพบท่าทีหรือวิธี และวิถี ตลอดจนเนื้อหาสาระทางไสยศาสตร์ หรือ "อย่างไสยศาสตร์" ปรากฏหรือแฝงฝังอยู่ใน "ความเป็นพุทธ(ปนพราหมณ์)" แบบไทยๆ นับแทบไม่ถ้วน เช่นเดียวกับอะไรต่อมิอะไร "แบบไทยๆ" ซึ่งอธิบายและตีความยาก ประเภทการเมืองแบบไทยๆ ประชาธิปไตยแบบไทยๆ การเลือกตั้งแบบไทยๆ องค์กรกลางแบบไทยๆ ตลอดไปจนถึงความรักและชังแบบไทยๆ และความชื่นชม-เบื่อหน่าย..แบบไทยๆ ที่มีให้เห็นอยู่เสมอจนแทบจะเรียกได้ว่าซ้ำซาก


 


แต่เป็นที่น่าเสียดาย ว่าคำตอบเช่นนี้ดูจะไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ หรือเป็นที่เข้าใจได้ ของคนอื่น(ที่ไม่ใช่คนไทย หรือไม่ใช่คนไทยโดยทั่วไป) ได้อย่างที่ "เราๆ" มักปลอบใจกันและกัน


 


กล่าวคือ สำหรับผู้มีใจเป็นธรรมและรักความถูกต้อง การวิเคราะห์และสรุปบทเรียนปรากฏการณ์ต่างๆ คงไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ขึ้นมา ด้วยการตีขลุมหรือยัดเยียด ลงไปให้ยุติโดยง่าย หรือกำปั้นทุบดิน ว่าทั้งนั้นและทั้งนี้ มีขึ้นเพราะวิถี "แบบไทยๆ" ของเราเป็นด้านหลักเพียงประการเดียว


 


และคงไม่ใช่เรื่องเป็นคุณนัก หากเราจะแสวงหาประโยชน์ หรือปฏิเสธโทษ ของสิ่งต่างๆ ที่ร่วมกันกระทำขึ้น ด้วยเหตุที่เรารู้ทัน หรือจับทาง "คนไทย..แบบไทยๆ" ของเราได้ และมีจิตใจฉ้อฉล จนกล้าใช้จุดอ่อนนั้นๆ มาเล่นกันนอกเกม


 


หาไม่ วิกฤติชนิดที่อดีตนายกรัฐมนตรี พ...ทักษิณ ชินวัตร กับพวกก่อไว้ ด้วยความ "รู้ใจคนไทย" ก็จะกลับมาอีก ไม่ว่าจะโดยคนกลุ่มเดิม หรือคณะปฏิรูปชุดยึดอำนาจในครั้งนี้ หรือรัฐบาลที่พวกเขากำลังจะสรรหา และรัฐธรรมนูญที่พวกเขา(และเธอ?)กำลังจะยกร่างขึ้น


 


เขียนมาถึงตอนท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนก็เริ่มจะมองเห็นเค้าลางของ "วงจรแห่งความทุกข์" เช่นที่คุณหมอ ประเวศ วะสี เคยพูดไว้ โดยมี "วัฒนธรรมแบบทักษิณ" ที่อาจารย์นิธิเคยกล่าวเมื่อไม่นานมานี้ทับซ้อนอยู่ ท่ามกลางบรรยากาศ "แบบไทยๆ" ที่พวกเรามักยอมรับ และปล่อยวาง ให้ทุกเรื่องสุมทับกันอย่างขอไปที


 


จนแทบไม่รู้ว่าอะไรคือปัญหา อะไรคือสาเหตุ จนวิธีการและเป้าหมาย กลายเป็นเรื่องสับสนและยุ่งเหยิง ไปเสียแทบหมดสิ้น


 


"วงจร" เช่นนี้มีมาตั้งแต่ครั้งไหนก็ไม่อาจทราบได้ แต่ดูเหมือนจะอาศัยความรุนแรงในการเปลี่ยนผ่านทุกๆ ครั้ง มาตั้งแต่ ๒๔๗๕, ๒๕๑๖, ๒๕๑๙ มาถึง ๒๕๓๕ และ ๒๕๔๙ นี้ เป็นดั่งอาหารแล้วพัฒนาการเติบใหญ่ขึ้นทุกที


 


ยิ่งมี "ระบอบทักษิณ" เป็นตัวเร่งเข้าด้วย ก็ดูเหมือนจะยิ่งไปกันใหญ่ ชนิด ฉุดไม่ได้-รั้งไม่อยู่ เอาเลยทีเดียว


 


เพราะจะว่าไปแล้ว ทั้งฝ่ายสร้างปัญหา และฝ่ายแก้ปัญหา ก็ดูจะไม่แตกต่างกันสักเท่าใดนัก ยิ่งฝ่ายคนดูด้วยแล้ว ยิ่งนานไปก็คล้ายจะยิ่งจะเข้ารกเข้าพง


 


วานนี้มีคนสละชีวิตเพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพทางการเมือง วันเวลาผ่านมา เราแทบไม่มีทั้งพวงมาลา และการรำลึกถึง...


 


วันนี้เรายินดีกับรัฐประหารและการฉีกรัฐธรรมนูญ เพียงเพราะสะสาแก่ใจ ในความเชื่อที่ว่า พี่น้องทหารหาญ "มาช่วยขับไล่" คนที่เราเกลียดชัง


 


ปล่อยให้ "บางอย่าง" เติบโตขึ้น ใหญ่โตขึ้น ทั้งที่กระบวนการ ป้องกัน-ควบคุม-แก้ไข ก็ใช่ว่าจะชัดเจนเข้มแข็งมั่นคง...


 


ด้วยเหตุดังกล่าว แล้วพรุ่งนี้เล่า เราจะก้าวเดินไปทางใด...


หรือจะปล่อยให้เป็นไปตามพุทธพจน์ที่ว่า


กมฺมุนา วตฺตตี โลโก : สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


ตามเหตุและปัจจัยไปโดยลำพัง


อย่างไม่จำเป็นต้องใช้ปัญญามาแก้ไข ให้ถูกต้องและดีงามขึ้นมาตามที่เหมาะและควร


แต่ประการใดเลย