Skip to main content

คำถามของผู้ชายที่หลงรักแม่ชี

เพื่อนรุ่นน้องของผมคนหนึ่ง


เป็นคนสนใจธรรมะ เขาเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อ 3-4 ปีก่อน เขามีโอกาสได้รู้จักกับแม่ชีสาวสวยคนหนึ่ง ที่สำนักปฏิบัติธรรมในละแวกบ้านของเขา เขารู้สึกทึ่งในตัวเธอมาก เพราะนอกจากความสวยสดงดงามแล้ว ทั้ง ๆ ที่อายุยังน้อย…แต่เธอกลับมีความรู้แตกฉานในเรื่องธรรมะตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงธรรมะขั้นสูง เธอจึงเป็นแรงดึงดูดทำให้เขาหมั่นไปเยี่ยมเยียนเธอ เพื่อสนทนาธรรมกับเธออยู่เป็นเนืองนิตย์


 


ในระยะแรก ๆ


เขาพยายามหลอกตัวเองว่าที่เขาเข้าๆ ออก ๆ สำนักไปหาเธอเพราะเรื่องธรรมะเพียงอย่างเดียว แต่พอนานวันเข้า เขาก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไป ว่าแท้จริงแล้วการที่เขาเข้าไปหาเธอนั้น นอกจากเรื่องธรรมะแล้ว เขายังอยากไปพบปะพูดคุยกับเธอ เพราะมีความรู้สึกนึกคิดในเชิงชู้สาวแอบแฝงลึก ๆ อยู่ในใจ พูดง่าย ๆ ว่า เขาเกิดไปหลงรักแม่ชีแบบหนุ่มสาวเขารักกันนั่นแหละ


 


ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ


เพราะตัวตนของแม่ชีที่เขาเล่าให้ผมฟังอย่างละเอียด เธอเป็นคนที่มีรูปร่างงดงาม ผิวขาวผุดผ่อง ใบหน้าเปล่งปลั่ง ตางามเฉิดฉาย แต่กลับมีบุคลิกที่สงบนิ่ง และวางตัวน่านับถือ จะลุกจะนั่งจะเดินจะเหินจะพูดจะจา กริยาสำรวมตนของเธอ แลดูแช่มช้อยชวนมองไปทุกอิริยาบท และสัดส่วนทั้งหมดนี้ที่ประกอบกันเข้าเป็นตัวตนของเธอ-ที่อยู่ในสถานะนุ่งขาวห่มขาวมิดชิด มันผสมผสานกลมกลืน กลายเป็นเอกภาพของความงามของผู้หญิงคนหนึ่งที่งามอย่างยิ่ง …งามอย่างยิ่งอย่างที่เรียกกันว่า สวยแบบคลาสสิก..


 


คลาสสิกขนาดไหน ก็คลาสสิกถึงขั้นทำให้เขาหันกลับไปมอง…ผู้หญิงสวยทันสมัยแบบสายเดี่ยวเอวลอย ที่ชอบโอ้อวดทรวดทรงองค์เอวกลายเป็นผู้หญิงโลคลาสไปหมด ทำอย่างไร ๆ  เขาก็ไม่สามารถหักห้ามใจตัวเอง…ที่คิดกับแม่ชีแบบชู้สาวไม่ได้  และยิ่งนับวันความรู้สึกนึกคิดที่ซุกซ่อนอยู่ในใจนี้ ก็ยิ่งเติบโตและทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน-จนเขาตกใจ


 


รู้สึกผิด…


นึกละอายและหวาดกลัวต่อบาป


           


วันหนึ่ง


เขาทนความรู้สึกนึกคิดนี้ไม่ไหว เขาจึงตัดสินใจหักดิบหัวใจที่ควบคุมไม่ได้ของตัวเอง ด้วยการเนรเทศตัวเองออกจากบ้านมาเช่าหอพักอยู่ที่ทำงานในเมือง ด้วยความอาลัยอาวรณ์ในตัวเธออย่างสุดซึ้ง เพราะเขาแน่ใจว่า ถ้าหากเขายังขืนปล่อยตัวปล่อยใจอยู่ใกล้ชิดสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้อีกต่อไป ไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่ง เขาจะต้องเดินเข้าไปสารภาพรักกับแม่ชีอย่างแน่นอน หลังจากเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังจบ เขาก็ถามผมอย่างจริงจังว่า


 


 "พี่ครับ พี่คิดว่าผมผิดและเป็นบาป…อย่างที่ผมรู้สึกกับตัวเองหรือเปล่า –ที่ไปคิดกับแม่ชีแบบนี้"


 "ไม่ผิดและไม่เป็นบาป" ผมยิ้ม ๆ ตอบโดยไม่ต้องคิด


 "ฮ้า" เขาร้องลั่น "ไม่ผิดและไม่เป็นบาปยังไง ผมไม่เข้าใจ"


 "เพราะมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ"


 "ผมก็ยังไม่เข้าใจ" เขาส่ายหน้า


 


 "ฟังนะ" ผมพยายามอธิบาย "อะไร ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้เมื่อถึงเวลาที่มันจะเกิด…แล้วไม่มีใครไปหักห้ามมันได้ เขาเรียกกันว่ามันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติของดินฟ้าอากาศหรือธรรมชาติของคน ถ้ามันจะเกิดมันต้องเกิด เช่น ฝนจะตกแดดจะออกฟ้าจะร้อง ไม่มีใครไปหักห้ามมันได้หรอก"


 "ครับ ครับ"


 "อะไร ๆ ที่เป็นธรรมชาติในตัวคนเราก็เหมือนกัน ถ้ามันจะเกิดอะไรสักอย่างขึ้นมามันก็ต้องเกิด มันไม่ใช่เรื่องผิดบาปอะไรหรอก ที่นายเกิดความรู้สึกนึกคิดแบบนี้กับแม่ชี เพราะความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ มันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของคนเรา ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือว่าลบ ถ้ามีเหตุเพียงพอที่จะทำให้มันเกิด…มันจะต้องเกิด ไม่มีใครไปหักห้ามมันได้หรอก แม้แต่ตัวของเราเอง เรื่องนี้จึงไม่มีอะไรผิด บาป"


 


 "แฮ่ งั้นผมจะกลับไปหาแม่ชีใหม่"


 "ยัง ยัง ยังโว้ย นายฟังเราพูดยังไม่จบ ที่เราพูดนี่เราหมายความเพียงแค่…การที่นายเกิดความรู้สึกนึกคิดแบบนี้กับแม่ชี มันไม่ใช่ความผิดบาปแน่ ๆ เพราะมันเป็นธรรมชาติทางจิตใจของคนที่ห้ามกันไม่ได้"


 "ก็แหม…แม่ชีแกดูเนี้ยบถึงปานนั้น"


 "พี่เข้าใจ พี่เข้าใจ ประเด็นนี้เราไม่ว่ากัน แต่การแสดงออกทางพฤติกรรมในเรื่องนี้ต่างหาก…ที่อาจเป็นความผิดบาป"


 "ผิดบาปยังไงพี่"


 


 "เอ้า พี่ถามหน่อยทุกวันนี้นายตื่นขึ้นมากินดื่ม นายยังปวดท้องขี้ท้องเยี่ยวอยู่หรือเปล่าว่ะ"


 "ถามบ้า ๆ กินดื่มทุกวัน ก็ต้องปวดทุกวันแหละพี่"


แล้วนายคิดว่าการที่นายปวดท้องขี้ท้องเยี่ยวนี่ มันเป็นความผิดของท้องไส้ของนายหรือเปล่า"


เขานิ่งอึ้งอยู่ชั่วครู่จึงตอบว่า


 "ไม่ผิดครับพี่"


 "ใช่ นี่ก็คือธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งของคนที่ห้ามกันไม่ได้"


 "ครับ ครับ ผมพอจะเข้าใจอะไรแล้วล่ะ"


 


 "แล้วเวลานายปวดท้องขี้ท้องเยี่ยว จำเป็นจะต้องขับถ่าย นายจัดการกับตัวเองยังไง"


 "ถามบ้า ๆ ผมก็ต้องไปเข้าห้องน้ำ หรือถ้าไม่มีห้องน้ำ ก็ต้องไปหาที่ลับหูลับตาคนปลดปล่อยมันซิพี่"


 "แล้วทำไมนายต้องเสียเวลายุ่งยากไปเข้าห้องน้ำ หรือไปหาที่ลับหูลับตาคน ทำไมนายไม่ถอดกางเกง ปล่อยมันออกตรงนั้นต่อหน้าคนให้สิ้นเรื่อง


 "บ้า ให้ผมตายเสียดีกว่าที่จะให้ทำอะไรที่น่าเกลียดอย่างนั้น พี่พูดอะไรไม่รู้ ผมชักงงแฮะ"


 


 "นายยังไม่เข้าใจหรือ เรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องเดียวกันกับที่นายไปหลงรักแม่ชีนั่นแหละ มันไม่มีอะไรผิดบาปหรอก นายจะคิดนายจะรู้สึกกับแม่ชียังไงก็ได้ ตราบใดที่นายยังสำนึกรู้…ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ เหมือนเวลานายปวดท้องขี้ท้องเยี่ยว แล้วรู้ว่าควรจะไปปลดปล่อยที่ไหน จึงจะแลดูไม่น่าเกลียด ไม่ทำให้ทั้งตัวเองและคนอื่นเขาเดือดร้อน"


 "โอ ผมเข้าใจแล้ว ผมเข้าใจแล้ว แต่แหม…ทำไมพี่รู้เรื่องชั่ว ๆ แบบนี้ดีจังเลย"


 


 "เฮ้ย ไม่มีอะไรหรอก สมัยพี่เป็นหนุ่มพี่ก็เข้า ๆ ออก ๆ สำนักปฏิบัติธรรมข้างบ้านเป็นว่าเล่น พูดแล้วจะหาว่าคุย กรณีของพี่คลาสสิกกว่าของนายหลายเท่าก็แล้วกัน"


 "เหรอ แล้วตอนนั้นพี่รู้สึกผิดบาปอย่างผมหรือเปล่า"


 "ไม่ ไม่ ไม่เลย เพราะพี่รู้ว่าพี่ควรรักเธออย่างไร"