โปรดฟังอีกครั้ง...
คอลัมน์/ชุมชน
"ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..." เสียงประกาศผ่านทางจอโทรทัศน์ดังก้องกังวาน เขาสะดุ้งเฮือกทำหน้าตาตื่นหวาดสะทก เหมือนคนจะร้องไห้
"โปรดฟังอีกครั้ง..."
"หรือว่าเรากำลังตกอยู่ในห้วงของความโล่งอกในความอึมครึม..." เขาพึมพำกับถ้อยคำของรุ่นน้องคนหนึ่งที่หลุดออกมา ในวันที่ฟ้าเปลี่ยนสี การเมืองการปกครองกลายพันธุ์
"ปฎิวัติ- -รัฐประหาร- -ปฏิรูป หรืออะไรก็แล้วแต่...ล้วนเป็นสิ่งที่สัมผัสต้องไม่ได้ แต่รู้สึกได้"
"แต่กูและคนอีกหลายคนสัมผัสได้โว้ย...สัมผัสปืนกับรถถังนั่นไงล่ะ..."เพื่อนอีกคนแย้งก่อนหัวเราะดังลั่น
"ใช่... ตอนนี้ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ต่างมีโอกาสได้สัมผัสใกล้ชิด ขอถ่ายรูปกันยกใหญ่ราวกับว่าเป็นงานมหกรรม หรืองานรื่นเริงอะไรซักอย่าง"อีกคนหนึ่งเสริม
"ชอบครับ สนุกครับ เหมือนงานวันเด็กเลย..." เสียงเด็กคนหนึ่งตะโกนบอก
เขาพยักหน้า อือออ ก่อนทอดถอนใจเฮือกใหญ่ยาวๆ ก่อนทำสีหน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้...เมื่อนึกผู้คนออกมาถ่ายรูปกับรถถัง บางคนเอาลูกเอาเมียใส่ชุดทหารมายืนเต๊ะท่าถ่ายรูป หญิงสาวบางกลุ่มสวมใส่ชุดมินิสเกิร์ตชุดลายพราง มาเต้นยั่วเย้าทหารหาญ เต้นรำบนถนน บางคนถึงขั้นพาคู่รักไปเชยชม จนใครบางคนเอ่ยประชดว่า นี่คือมนต์รักรถถัง ช่างน่ารักน่าชัง น่าจับต้องเสียนี่กระไร
เขาถอนใจเฮือกใหญ่ยาวๆ ก่อนทำสีหน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้...
เป็นที่รับรู้ทั่วไปในหมู่เพื่อนฝูง ว่าเขาคนนี้ชอบหมกมุ่นครุ่นคิดถึงเรื่องการเมืองอย่างหนัก ว่ากันว่าเขาเป็นโรคเกลียดการเมือง เกลียดความไม่ยุติธรรมเป็นอย่างมาก และเขารักและหวงแหนประชาธิปไตยยิ่งกว่าไข่ในหิน
แน่นอน- -เขาเกลียดการคอรัปชั่น การโกงบ้านกินเมืองของรัฐบาลทักษิณ (และทุกๆ รัฐบาล) และเขาก็เกลียดการใช้อำนาจ อยุติธรรม ปืน รถถัง และการทำปฏิวัติ รัฐประหาร ของทหาร
"กูว่าตอนนี้ คนอื่นต้องมีความรู้สึกเช่นเดียวกับกูแหง- -เป็นความรู้สึกโล่งอกในตอนแรก แต่อึมครึมอึดอัดเมื่อรู้
สึกตัวทีหลัง" เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบ๊าเบา...
และหูตาเขาระแวงระไว เหมือนสมันน้อยกลัวเสือหรือสิงโตจ้องตะครุบเหยื่อ
(นั่นอาจเป็นเพราะการประกาศของหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขฉบับที่ 7 เรื่อง การห้ามชุมนุมทางการเมือง)
"...เพื่อเตือนความทรงจำ- -หาไม่แล้วชีวิตจะยุ่งเหยิงไปมากกว่านี้...โปรดฟังอีกครั้ง..." เขานั่งตัวตรง พร้อมอ่านถ้อยคำประกาศฉบับนั้น เหมือนกับว่าตนเองเป็นผู้ประกาศทางสถานีทีวีพูล
ด้วยน้ำเสียงเข้ม สีหน้าเคร่งขรึม...
"...ตามที่คณะปฏิรูปการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 เวลา 21.05 น.เป็นต้นไป แล้วนั้น เพื่อมิให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดินในระหว่างประกาศกฎอัยการศึก จึงห้ามมิให้มั่วสุมประชุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หากผู้ใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ..."
"บ้า...ใครจะไปกล้าเล่า ทุกวันนี้ชีวิตก็ลำบากพอแล้ว ไม่มีใครอยากไปคุยกันในคุกตั้ง 6 เดือนและคงไม่มีใครอยากเสียตังค์เป็นพันเป็นหมื่นในขณะที่ข้าวยากหมากแพงอย่างนี้หรอก" เขาลากเสียงเหนื่อยเหมือนหมาหอบแดด
"มึนว่ะ อะไรกันเนี่ย ของเก่าเพิ่งจากไป ของใหม่เข้ามาแทนอีกแล้ว" เขานั่งจ่อมจมอยู่กับความคิด พร้อมกับบ่นงึมงำไปมาอยู่อย่างนั้น...
"หรือว่าเรากำลังสับสนกับทางที่เราเดิน...หรือว่าเรากำลังหลงดีใจได้ปลื้มและ งุนงงกับอำนาจใหม่ที่เข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว"เขาพึมพำคุยกับตัวเองไปมา
"ใจเย็นๆ อดทนเอา อดใจรออีกซักหน่อยเหอะ..."เพื่อนคนหนึ่งตบไหล่เขาเบาๆ พยายามเข้าใจความรู้สึกของเขา ที่พยายามทำความเข้าใจกับความสับสนของตัวเอง ของสังคม ของประเทศ การเมืองในห้วงขณะนี้
เขาสลัดศีรษะ ไล่ความมึนงง พร้อมหลับตาพึมพำไปมาอยู่อย่างนั้น...
ขณะที่เขานั่งอยู่กับเพื่อนสี่คน และมีเพื่อนในเอ็มเอสเอนอีกคนหนึ่ง...
เขาสะดุ้งเฮือก ทำหน้าตาตื่นหวาดสะทก
"ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..." เสียงประกาศผ่านทางจอโทรทัศน์ดังก้อง เขาเหมือนคนจะร้องไห้
"โปรดฟังอีกครั้ง..."
"กูไม่ไหวแล้วโว้ย กูว่ามันต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว!" เขาตะโกนก้องเหมือนคำราม
เขาแผดเสียงเหมือนคนบ้า ลุกขึ้นเตะเก้าอี้ เตะประตู เดินออกไปตามท้องถนน ในห้วงยามที่ฟ้าดำก่ำเศร้า ด้วยก้อนเมฆทะมึนลอยเคลื่อนลงต่ำเหมือนจะกดทับชีวิตทุกชีวิตบดอัดให้แหลกเหลว
ท่ามกลางความงุนงงสงสัยของผู้คน ต่างหันมามองดูเขาด้วยความแปลกใจ