Skip to main content

คำตอบอัศจรรย์ 3 ประการ

คุณที่รัก


คุณเคยได้ฟังเรื่องเล่าเรื่องนี้ไหม เรื่องเล่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของตอลสตอย นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ของโลกจากรัสเชีย ที่ติช นัท ฮันท์ นักบวชชาวเวียดนามได้อ่าน แล้วเล่าให้ลูกศิษย์คนหนึ่งของท่านฟัง ในหนังสือ "ปาฏิหารย์ของการตื่นอยู่เสมอ" ซึ่งเป็นหนังสือรวบรวมคำสอนเกี่ยวกับการฝึกสติ ซึ่งแปลโดยพระประชา ปสน.นชม.โม (ปัจจุบันลาสิกขาบทเป็นคุณประชา) ในบทที่ชื่อว่า "คำตอบอัศจรรย์ 3 ประการ"


 


เรื่องเล่าเรื่องนี้


เป็นเรื่องของจักรพรรดิที่ไม่ปรากฏนามองค์หนึ่ง ที่ทรงมีความเชื่อว่า หากพระองค์รู้คำตอบ 3 ประการ ดังต่อไปนี้แล้วจะทำให้พระองค์ประกอบภารกิจใด ๆ ไม่ผิดพลาดเลย – นั่นคือ


1. เวลาไหนเป็นเวลาเหมาะสมที่สุดในการทำภารกิจแต่ละอย่าง


2. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย


3. อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา


 


ด้วยความเชื่อนี้ พระองค์จึงสั่งปิดป้ายประกาศไปทั่วพระราชอาณาจักรของพระองค์ว่า ใครที่สามารถตอบคำถามทั้ง 3 ข้อนี้ของพระองค์ได้ จะได้รับรางวัลอย่างมหาศาล คนทั้งหลายเมื่อได้อ่านป้ายประกาศนี้ ต่างพากันมุ่งหน้าเข้าวังไปตอบคำถามของพระองค์ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครเลยที่ตอบคำถามทั้ง 3 ข้อนี้ เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ จึงไม่มีใครได้รับรางวัล


 


ดังนั้น


หลังจากทรงคิดทบทวนอยู่หลายคืน พระองค์จึงตัดสินพระทัยที่จะนำคำถามทั้ง 3 ข้อนี้ ไปถามฤาษีตนหนึ่งที่บำเพ็ญตบะอยู่บนภูเขา ซึ่งผู้คนร่ำลือกันว่าเป็นผู้ตรัสรู้บรรลุธรรม สามารถรู้แจ้งเห็นจริงในทุกสรรพสิ่งในโลก แต่เนื่องจากฤาษีตนนี้ ยินดีต้อนรับเฉพาะคนยากจน ไม่ยอมต้อนรับคนร่ำรวยหรือผู้มีอำนาจราชศักดิ์ เมื่อพระองค์เดินทางไปถึงภูเขาที่ฤาษีตนนี้อาศัยอยู่ พระองค์จึงเปลื้องฉลองพระภูษาของพระองค์ แล้วเอาชุดเสื้อผ้าเก่า ๆ ของชาวนามาสวมใส่ ปลอมตัวเป็นชาวนาผู้ยากจน และสั่งให้องครักษ์คอยอยู่ที่เชิงเขา ก่อนจะไต่เนินเขาขึ้นไปพบฤาษีตามลำพัง


 


พอไปถึงที่อยู่ของฤาษี พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นฤาษี กำลังใช้จอบขุดดินอยู่ในสวนหน้ากระท่อม เมื่อฤาษีเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาหา ท่านก็ผงกหัวต้อนรับและก้มหน้าก้มตาขุดดินต่อไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่างานที่ฤาษีกำลังทำเป็นงานหนัก เพราะฤาษีดูผ่ายผอมและชรามากแล้ว พระจักรพรรดิดำเนินเข้าไปใกล้และตรัสขึ้นว่า


 


"ผมเดินทางดั้นด้นมาที่นี่ เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน ขอให้ท่านช่วยแก้ปัญหาให้ผม 3 ข้อ คือ


1. เวลาไหนเป็นเวลาเหมาะที่สุดในการทำภารกิจแต่ละอย่าง


2. ใครคือคนที่สำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย


3. อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา"


 


ฤาษีฟังคำถามด้วยความเอาใจใส่แต่มิได้ตอบ เพียงแต่เอามือตบไหล่พระจักรพรรดิเบา ๆ แล้วก็ขุดดินต่อไป พระจักรพรรดิจึงตรัสขึ้นมาว่า


"ท่านคงเหนื่อยมากซินะ มาให้ผมช่วยท่านเถอะ"


 


ฤาษีขอบใจพลางส่งจอบให้พระจักรพรรดิ และทรุดตัวลงนั่งพักบนพื้นดิน หลังจากขุดดินไปได้ 2 ร่อง พระจักรพรรดิก็หยุด และหันไปถามถึงคำตอบของปัญหาทั้ง 3 ข้ออีกครั้งหนึ่ง ฤาษีก็ยังไม่ตอบ แต่กลับผุดลุกขึ้นยืน ชี้มือไปที่จอบและพูดว่า


"หยุดพักได้แล้ว ฉันทำต่อไปได้แล้ว"


 


แต่พระจักรพรรดิไม่ยอมส่งจอบให้ และคงขุดดินต่อไปจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า พระองค์จึงวางจอบลงและตรัสกับฤาษีว่า


"ผมมาที่นี่ เพื่อขอร้องให้ท่านตอบคำถามของผม หากท่านไม่สามารถตอบผมได้โปรดบอกผมด้วย ผมจะได้กลับบ้านของผม"


แต่ฤาษีกลับเงยหน้าขึ้นและถามพระจักรพรรดิว่า


"เธอได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกำลังวิ่งมาทางนี้หรือเปล่า"


 


พระจักรพรรดิจึงหันไปทอดพระเนตรที่มาของเสียง ทันใดนั้นทั้งสองต่างกันก็แลเห็น ชายผู้มีหนวดเคราขาวคนหนึ่ง กำลังวิ่งกุมบาดแผลโชกเลือดที่หน้าท้องออกมาจากพุ่มไม้ ตรงมายังพระจักรพรรดิ ก่อนจะล้มลงสิ้นสติ พระจักรพรรดิทรุดพระองค์ลงเปิดเสื้อผ้าดูบาดแผลของชายผู้นั้น เมื่อทอดพระเนตรเห็นบาดแผลลึกที่หน้าท้องของเขา จึงช่วยทำความสะอาด และถอดฉลองพระองค์ซับแผลให้จนเลือดหยุด


 


เมื่อคนเจ็บฟื้นตัวได้สติ ร้องขอน้ำกิน พระองค์ก็รีบไปตักน้ำที่ลำธารให้ดื่ม พอดีกำลังมืดค่ำ อากาศเริ่มหนาว ฤาษีและพระจักรพรรดิจึงช่วยกันนำคนเจ็บเข้าไปในกระท่อม และให้เขานอนบนเตียงของฤาษี คืนนั้นทั้ง 3 ต่างหลับนอนอยู่ในที่เดียวกัน


           


รุ่งเช้าวันใหม่


พระจักรพรรดิตื่นจากบรรทม ทรงลืมไปชั่วขณะว่าพระองค์เสด็จมาอยู่ที่ไหน มาทำอะไร เมื่อทอดพระเนตรไปที่เตียงคนเจ็บ ก็พบว่าชายผู้นั้น กำลังจ้องมองมายังตนอย่างฉงนฉงาย พอสบพระเนตรชายผู้นั้นก็ครวญครางพูดกับพระองค์ว่า


"ได้โปรดประทานโทษให้ข้าพระองค์ด้วย"


"เธอทำผิดอะไรเล่าเรื่องที่ฉันจะต้องให้อภัย" พระองค์ตรัสถาม


"ท่านไม่รู้จักข้าหรอก แต่ข้าพระองค์รู้จักท่านดี"


ชายผู้นั้นตอบและเล่าเรื่องเขาให้พระองค์ฟังว่า เมื่อครั้งสงครามที่ผ่านมา พี่ชายของเขาได้ถูกทหารของพระจักรพรรดิฆ่าตาย และถูกริบเอาทรัพย์สมบัติไปทั้งหมด เขาจึงถือว่าจักรพรรดิคือศัตรูคู่อาฆาตที่เขาปฎิญาณเอาไว้ว่าจะต้องล้างแค้นให้ได้


 


เมื่อทราบข่าวพระจักรพรรดิขึ้นมาหาฤาษีตามลำพัง


เขาจึงมาดักรอฆ่าพระจักรพรรดิตอนเสด็จกลับ  แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นออกมา เขาจึงออกจากที่ซุ่มไปตามหา แต่โชคร้ายไปเจอเอาทหารองค์รักษ์ พวกทหารจำเขาได้จึงเข้าไปจับกุมจนเขาถูกมีดบาดเจ็บ แต่ก็ยังโชคดีที่หนีรอดการจับกุมมาพบพระจักรพรรดิ เล่าเรื่องจบแล้ว เขาจึงพูดกับพระองค์ว่า


 


"ถ้าไม่ได้พบท่าน ป่านนี้ข้าพระองค์คงตายไปแล้ว ข้าพระองค์ตั้งใจจะฆ่าท่าน แต่ท่านกลับช่วยชีวิตข้าพระองค์ไว้ ข้าพระองค์รู้สึกละอายใจ และสำนึกในพระคุณอย่างบอกไม่ถูก หากข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าพระองค์ขออุทิศชีวิตที่เหลืออยู่รับใช้ท่านตลอดไป และจะสั่งสอนลูกหลานทุกคนให้ปฏิบัติตามด้วย ขอโปรดประทานอภัยให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด"


 


พระจักรพรรดิทรงยินดีเป็นยิ่งนัก


ที่ศัตรูได้กลับมาเป็นมิตร นอกจากจะประทานอภัยให้แล้ว ยังทรงสัญญาว่าจะคืนทรัพย์ที่เคยริบมาทั้งหมด รวมทั้งจัดส่งแพทย์ไปรักษาพยาบาลจนกว่าเขาจะหายเป็นปกติ หลังจากสั่งทหารนำชายผู้นั้นไปส่งถึงบ้านแล้ว พระองค์ก็เสด็จกลับมาหาฤาษีที่กำลังหว่านเมล็ดพืชลงบนดินที่ขุดไว้เมื่อวาน และตรัสถามถึงคำตอบที่ยังไม่ได้จากฤาษีว่า


"ท่านยังไม่ได้ตอบคำถาม 3 ข้อของข้าเลย"


ฤาษีหยุดทำงานบอกกับพระองค์ว่า


"คำถามของท่านได้รับคำตอบหมดแล้ว"


"อะไรกัน"


 


พระจักรพรรดิอุทานขึ้นด้วยด้วยความงุนงง ฤาษีจึงอธิบายให้ฟังว่า


 "เมื่อวานนี้ ถ้าท่านไม่เกิดความสงสารฉัน และช่วยฉันขุดดินจนตะวันตก ท่านก็คงถูกชายคนนั้นทำร้ายตอนขากลับ และต้องโทมนัสใจเป็นอย่างมากที่ไม่ได้พักอยู่กับฉัน ดังนั้นเวลาสำคัญที่สุดตอนนั้นก็คือเวลาที่ท่านขุดดิน บุคคลสำคัญที่สุดก็คือตัวฉัน และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การช่วยฉันขุดดิน ต่อจากนั้น เมื่อชายบาดเจ็บคนนั้นวิ่งมา  เวลาที่สำคัญที่สุดก็คือตอนที่ท่านช่วยพยาบาลเขา เพราะมิฉะนั้นเขาจะต้องตาย และท่านก็หมดโอกาสที่จะได้กลับเป็นมิตรกับเขา และเช่นเดียวกัน บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือชายคนนั้น และภารกิจที่สำคัญก็คือการช่วยพยาบาลเขา"


 


ฤาษีอธิบายและอย่างหนักแน่นว่า


"ท่านจงจำไว้ มีเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมนุษย์อยู่เพียงเวลาเดียวเท่านั้น –นั่นคือเวลาปัจจุบัน เพราะช่วงขณะเวลาปัจจุบันเท่านั้น…ที่เราเป็นเจ้าของเวลาอย่างแท้จริง และบุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เรากำลังติดต่อและอยู่ต่อหน้าเรา เพราะไม่รู้ว่าอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับเขาอีกหรือไม่ และภารกิจที่สำคัญที่สุด ก็คือการทำให้คนที่อยู่กับเราในขณะนั้นมีความสุข เพราะนี่คือภารกิจอย่างเดียวในชีวิตที่มนุษย์พึงปฏิบัติ


           


 


คุณที่รัก


ทุกวันนี้เวลาผมหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่าน ถึงตอนที่มีเรื่องเล่าเรื่องนี้ทีไร ผมก็ยังรู้สึกอัศจรรย์ในคำตอบทั้ง 3 ประการนี้ไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะคำตอบข้อที่ 3 ที่เรามักจะหลงลืมและมองข้าม ผมจึงเก็บเรื่องนี้มาบันทึกไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อเตือนใจตัวเอง และเพื่อยังประโยชน์ แด่ท่านผู้อ่านทุกท่านที่สละเวลาอันมีค่ามาอ่านคอลัมน์นี้.