Skip to main content

ผูกเปลนอน ผ่อนคลายชีวิต แล้วอ่านความคิดของตัวเอง

คอลัมน์/ชุมชน

1


 


สัปดาห์นี้ผมขออนุญาตเว้นวรรคการเมืองและการงาน


เพราะรู้สึกและรับรู้ได้ด้วยตัวเองว่า ระบบกลไกของร่างกายไม่ค่อยดีเอาเสียเลย เหมือนเครื่องยนต์กำลังกระตุกเป็นห้วงๆ ไม่ลื่นไหล  ปั่นป่วนปวดแสบปวดร้อนภายในลำไส้ (ขอโทษ- -ถ่ายเป็นเลือด)


           


แต่ไม่เป็นไรมากนักหรอก ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องแช่งด่า ไม่ต้องร่ำไห้ ไม่ต้องเวทนา


ยังไม่ถึงเวลา...ไปข้างหน้าก่อนเหอะ...ผมตะโกนบอกเจ้าแห่งความตายให้ไปไกลๆ


           


ผมตัดสินใจเขียนจดหมายลาผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) ถึงประชาไท เจ้าสำนัก ขอลาพักผ่อน เนื่องจากระบบลำไส้มันส่งผลทำให้สมองมึนตื้อคิดอะไรไม่ค่อยออก ปวดเนื้อปวดตัวไปหมด


           


หรือว่าเราหมกมุ่นครุ่นเครียดมากเกินไป  หรือว่าแท้จริงชีวิตนั้นคือทุกข์!?


           


ผมลองตั้งคำถามบอกเล่าอาการลงในเว็บบอร์ดของ ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี www.balavi.com มีหลายคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงของถ้อยคำเป็นห่วงเป็นใย...พร้อมอธิบายถึงสาเหตุอาการของโรค บอกว่า นี่อาจเป็นอาการที่บ่งบอกสัญญาณของการเป็นมะเร็งลำไส้ ต้องเน้นอาหารธรรมชาติจำพวกผัก ผลไม้ที่เป็นไฟเบอร์มากๆ และที่สำคัญควรไปปรึกษาแพทย์...พร้อมบอกเบอร์โทรศัพท์ อีเมล์บอกว่ายินดีให้คำแนะนำ...


 


ขอบคุณสำหรับน้ำมิตรน้ำจิตครับ- -มันทำให้ชีวิตยังมีหวัง ที่สังคมคนเรายังมีอะไรดีๆ ให้กัน ทำให้เรารู้ว่าโลกยังอบอุ่น ไม่ได้แล้งแห้งและไม่โหดร้ายแก่กันจนเกินไป


 


แต่แปลกอยู่อย่าง- -ไม่รู้เป็นไง ถ้าไม่หนักหนาสาหัส  ผมไม่ค่อยไปหาหมอ แต่ชอบรักษาดูแลตัวเองคนเดียว ออกไปซื้อสมุนไพร ขมิ้นชัน อาหารมังสวิรัติ หุงข้าว ทำกับข้าวกินเอง ข้าวกล้อง ผักไม้ไซร้เครือ  ผลไม้ นมเปรี้ยว บ้างก็เอากล้วยน้ำว้าที่พี่ชายเอาจากสวนมาฝาก นำมาบดราดด้วยน้ำผึ้งป่ากินอย่างนั้นแหละ


 


จริงๆ แล้ว ผมพยายามบอกกับตัวเอง ว่าจะจัดสรรชีวิตตนเองเสียใหม่


เหมือนกับบันทึกประจำวันในบางวันของผม...


 


...พยายามบอกกับตัวเองว่า ต่อไปนี้ จะจัดตารางชีวิตให้กับตัวเองใหม่


จะทำงานข่าวให้แล้วเสร็จก่อนสองทุ่ม เข้านอนก่อนเที่ยงคืน และตื่นตอนตีห้าของทุกเช้า เพื่อนั่งขีดเขียนสารคดี ความเรียง บทกวี เรื่องสั้น ซึ่งหากทำอย่างนี้ได้ การจัดสรรเวลาให้กับชีวิตน่าจะลงตัว...


 


แต่พอเอาเข้าจริง กลับไม่เป็นอย่างนั้น


           


เมื่อวานกลับจากทำธุระ เอาฮาร์ดดิสคอมฯ เครื่องใหญ่ ไปฝากให้เพื่อนรุ่นน้องเอาไปซ่อม แฟนแกทำงานที่ร้านกาแฟ แถวย่านถนนนิมมานฯ หลังจากนั้น ผมขับมอเตอร์ไซค์ไปแวะซื้อผักปลอดสารพิษ ข้าวกล้อง ก่อนไปเปิดตู้ปณ.ที่ มช. เอาหนังสือและจดหมาย ต่อจากนั้นแวะหาแหล่งข่าวที่สถานีตรวจแผ่นดินไหว ใกล้วัดศรีโสดา ตีนดอยสุเทพ...ลงจากดอย แวะไปหาเพื่อนนักข่าวที่สำนักข่าวประชาธรรม ก่อนกลับมานั่งทำงานที่บ้าน กว่าจะทำข่าวเสร็จ ปาเข้าไปตีสองตีสาม กว่าจะเข้านอนก็ตี่สี่ ตื่นนอนอีกทีก็เกือบเที่ยง...


           


นี่เพียงแค่เริ่มจัดตารางชีวิตให้กับตัวเอง  ยังยุ่งยากขนาดนี้ ที่วางไว้ตั้งแต่ต้น ล้มเหลวตามเคย...


           


                                                                                    20 ก.ค. 2549


 


2


 


ฝนโปรยในเดือนตุลา...


ผมผูกเปลนอน หยิบหนังสือกวีนิพนธ์ค้นหาความหมายชีวิต "โอบกอดจันทรา" ของ "เรืองรอง รุ่งรัศมี"ออกมาอ่านอย่างเงียบๆ บางถ้อยคำชวนให้ครุ่นคิด...


 


"...รอยเท้าของเราเริ่มต้นตรงไหน


ตรงที่เริ่มรู้จักความกลุ้มกังวล


หรือว่าเมื่อคลอดจากครรโภทร


ชีวิตมีอยู่เมื่อใด เมื่อเริ่มหายใจ


หรือว่าเมื่อเริ่มรู้จักตัวตน


 


ความภาคภูมิใจของเราอยู่ที่ไหน


อยู่ที่การหารายได้เลี้ยงตน


หรือว่าอยู่ตรงค้นพบความรักต่อโลกมนุษย์ทั้งปวงพึงมี


 


ได้ แต่ไม่ได้


มอง แต่ไม่เห็น


 


ไปสู่จุดสิ้นสุดของชีวิตอยู่ทุกคืน


พเนจรหลงป่าอยู่ทุกวันคืนที่ตื่นขึ้นมา


เพียรหาได้ จ่ายไปด้วยวันเวลา ไม่เคยรู้สึก


ไม่เคยสมมุติแม้แต่การเป็นอัศวินสติเฟื่อง ดอน กีโฮเต้ ที่เข้าพิชิตตู้เอทีเอ็ม


 


โบนัสปลายปีงอกงามอยู่ในสมอง


วัชพืชความคิดใดอีกรกอยู่ในหัว


มีดปลายแหลมไร้รูปที่ถืออยู่โดยไม่รู้สึกตัว


ไม่เคยถูกใช้ตัดหั่นวัชพืชรกปกคลุมชีวิต


 


รอยเท้าวันนี้เราอยู่ตรงไหน


หันมองร่องรอยฝีเท้าพบไหม


หรือว่าไม่ว่าง กระทั่งฝันร้ายก็ยังไม่มีเวลา


 


ผู้คนร่ำรวยเวลาอยู่ถึงหนึ่งชั่วชีวิต


แต่มากผู้คนยากจนเวลากว่าค่อนชีวิต..."


 


                        บางถ้อยคำในบท "โจนาธานบินสู่ดาวบี 612"


 


 


3


 


ในวันที่ชีวิตป่วยไข้


เชื่อว่าคนหลายคนคงอยากอยู่ในสถานที่สงบ เพียงลำพัง


อยู่ให้ห่างผู้คน แต่อยู่ให้ใกล้ธรรมชาติ...


 


ผมชอบหยิบบันทึกประจำวัน ออกมาพลิกอ่านครุ่นคิดอย่างช้าๆ  เป็นการทบทวนหวนคืนเรื่องราวเก่าๆ ทำให้เรามองเห็นริ้วรอยความทรงจำ เห็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่บางครั้งเรามักมองผ่านเลย...


           


            วันนี้วันอาทิตย์, บริเวณลานหน้าบ้านเช่า


            มองเห็นชีวิตผลิบานอย่างชิดใกล้


            บรรจงลูบกลีบเก็ตตะหวากำลังตูมยามเช้า


            ครั้นแดดบ่ายมาเยือน เก็ตตะหวาคลี่กลีบเบ่งบานขาว


            บริสุทธิ์และมีกลิ่นหอม


            ผมนั่งเฝ้ามองอยู่ห่างๆ


            เย็นวันก่อนยังจำได้,


            เด็กน้อยคนหนึ่งเคยนั่งอยู่ตรงนี้


                                    23 ก.ค.2549


 


            ผีเสื้อสีขาวตัวเล็กบินวนเวียนมาแต่เช้า


            แดดส่องใสกระทบลานหน้าบ้าน


            ผมยกกระถางจำปามารับแสง


            ต้นไม้อยู่แต่ในร่ม มักซีดเซียว ไม่แข็งแรง


            ชีวิตต้องอยู่กลางแจ้ง รับแสงแดดส่องเสียบ้าง


                                    24 ก.ค.2549


 


 


            ฉีกปลาหมึกแห้งคลุกข้าวให้เจ้าเหมียว วางไว้ใต้เปลนอนหน้าบ้าน


            เจ้าเหมียวกินเพียงสี่ห้าคำ ก็เดินจากไป


            ทิ้งไว้ให้มดแดงไต่มาเป็นขบวน  หลายชีวิตกำลังช่วยกัน 


            ขนเมล็ดข้าวสุกในจาน  ไปซ่อนสะสมไว้ในรวงรัง


            ปรัชญาชีวิตง่ายๆ เช้านี้ที่มองเห็น


            สัตว์ไม่เคยมักมาก กินพออิ่ม


            สัตว์บางตัวรู้จักสะสมเพียงพอตัว


            เท่าที่แรงกำลังมี


                                    25 ก.ค.2549


 


           


            เปิดดูข่าวรอบโลก 


            ทางการจีนประกาศมอบรางวัล


            ให้กับคนที่หวนคืนบ้านเกิด


            กลับไปพัฒนาและเป็นตัวอย่างที่ดีของหมู่บ้าน


            ในจำนวนที่ได้รับรางวัล ส่วนใหญ่


            ล้วนเป็นชาวนา


                                    2 ส.ค. 2549


 


           


            ในวันฟ้าครึ้มหม่น, ผมมองเห็น


            เหล่ามดแดงโซซัดโซเซช่วยกันแบกร่าง


            ทยอยขนศพเพื่อนฝูงที่ตายโดยไม่รู้สาเหตุ


            เคลื่อนผ่านกรวดหินดินทรายไปอย่างเงียบๆ    


                                    6 ต.ค. 2549


                                               


 


4


 


ในวันที่ชีวิตป่วยไข้,


ระบบกลไกของร่างกายปั่นป่วน เหมือนเครื่องยนต์กำลังกระตุกเป็นห้วงๆ ไม่ลื่นไหล 


แต่ก็ดีเหมือนกัน ที่ทำให้ชีวิตหยุดพักในเรื่องหนักๆ หันมาใช้ชีวิตในวันเบาเบาเปล่าว่างเสียบ้าง


ขีดเขียนบันทึกประจำวัน อ่านบันทึกของตัวเอง จริงสิ, บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับผมแล้ว- -บันทึกประจำวันเหล่านี้มันมีคุณค่า ควรเก็บและจดจำ...โดยเฉพาะสำหรับคนเขียนหนังสือ


 


อย่างน้อยก็ทำให้ชีวิตผมมีโอกาสผ่อนคลาย ได้ผูกเปลนอน ได้อ่านหนังสือ


ได้อ่านทบทวนความหลัง อ่านความคิดของตัวเอง


อย่างเงียบ-เงียบ.