Skip to main content

รัฐประหารกับการข่มขืน

คอลัมน์/ชุมชน

แต่คณะ คปค.เท่านั้นที่ข่มขืนประเทศชาติ เพราะยิ่งเวลาผ่านไปการข่มขืนก็ยิ่งมีคนมาร่วมด้วยหลายคน  นักวิชาการขายตัวเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ร่วมด้วยช่วยกันในการข่มขืน ซึ่งไม่ว่าท่านนักวิชาการจะใช้ข้ออ้างอะไรก็ฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น นักกฎหมายขายตัวซึ่งพร้อมจะร่างรัฐธรรมนูญสำหรับการรัฐประหารทุกฉบับก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง  คนชั้นกลางที่ป่วยเป็นโรคฮิสทีเรียก็อีกกลุ่มหนึ่ง แต่ป่วยการและเสียอารมณ์เปล่า ๆ ที่จะพูดถึงคนพวกนี้


คนบางกลุ่มอาจพอใจกับการถูกข่มขืนจึงโห่ร้องดีใจเมื่อเห็นรถถังและทหาร เพราะเชื่อมั่นว่าในเรื่องของความสามารถในการข่มขืนแล้ว ทหารทำได้ดีกว่าพลเรือนมาก


บางคนจึงเอาดอกไม้ไปให้ราวกับจะบอกว่า  "เบา ๆ หน่อย ฉันไม่ชอบความรุนแรงนะ  โปรดสุภาพในการข่มขืน  ใจเย็น ๆ ไม่ต้องรีบร้อน อย่างไรเสียพวกคุณก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว ไม่มีใครขัดขวาง"


โดยทั่วไป การข่มขืนเกิดขึ้นจากผู้ชายกระทำต่อเด็กและสตรีหรือพูดให้กว้างกว่านี้ก็คือผู้มีอำนาจมากกว่ากระทำต่อผู้มีอำนาจน้อยกว่าหรือกระทำต่อคนที่ไม่มีทางปกป้องตัวเอง  และภายใต้กฎอัยการศึก ภายใต้คำสั่งต่าง ๆ ภายใต้อำนาจเถื่อน ภายใต้บารมีของคนนอกรัฐธรรมนูญ ทุกคนถูกทำให้กลายเป็นเด็กไปหมดแล้ว


คณะรัฐประหารบอกว่าอย่ากระโตกกระตาก  ขอให้อยู่นิ่ง ๆ เพียง 2 สัปดาห์เท่านั้นหลังการยึดอำนาจ ก็จะปล่อยให้เป็นอิสระ จากนั้นก็จะส่งมอบให้เป็นภาระหน้าที่ในการข่มขืนแก่รัฐบาลผสมระหว่างพลเรือนกับทหารต่อไปโดยคณะรัฐประหารจะคอยนั่งชมอยู่ห่าง ๆ หรืออาจจะลงมือเองบ้างหากว่ามีอารมณ์


การถูกข่มขืนครั้งที่หนึ่งจะนำไปสู่การข่มขืนครั้งต่อ ๆ ไป การข่มขืนเสียให้ยับเยินใน 2 สัปดาห์แรกเป็นการกดบังคับ ทำให้เหยื่อยอมจำนนศิโรราบ เมื่อเหยื่อยอมจำนนแล้ว การกระทำอะไรกับเหยื่อในคราต่อ ๆ ไปก็ไม่ใช่เรื่องยากเพราะเหยื่อได้สูญเสียศักดิ์ศรีความเป็นคนไปแล้ว


การรอคอยถึง 2 สัปดาห์หลังการรัฐประหารจึงเป็นเรื่องที่คอยไม่ได้ การประท้วงต่อต้านต้องกระทำโดยเร่งด่วน 


..................


สิ่งที่เหยื่อต้องการคือการเยียวยา การเยียวยาไม่ใช่การเร่งรีบร่างรัฐธรรมนูญฉบับอำเภอใจเพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ที่ผ่านมาก็ได้เห็นกันแล้วว่ารัฐธรรมนูญพร้อมจะถูกฉีกได้เสมอ หรือไม่ใช่การตั้งรัฐบาลเถื่อนซึ่งก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกเหมือนกัน หนำซ้ำมันยังเป็นการข่มขืนซ้ำอีก รวมทั้งไม่ใช่การฟังเพลงปลุกปลอบใจจากนักร้องรับจ้างค่ายแกรมมี่ สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรแม้แต่น้อยกับการเยียวยา มันเป็นเพียงการเล่นปาหี่ให้เด็กดูเท่านั้นเอง


การเยียวยาไม่ใช่การบอกให้ลืมๆ แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ หรือบอกให้มองโลกในแง่ดีโดยหลอกว่าการข่มขืนที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อาจจะดีก็ได้เพราะผู้ข่มขืนเป็นคนดี ซื่อสัตย์  ไม่คดโกง  มีจริยธรรม ทำเพื่อชาติ ไม่ใช่ฮิตเลอร์ (แต่คนที่เป็นคนดีจริง ๆ เขาไม่มาเที่ยวประกาศความดี บารมีของตนเองและเที่ยวไล่ข่มคนอื่น หรือมีคนรุมด่าสาปแช่งทุกวันทางอินเตอร์เน็ต)        


การเยียวยาไม่ใช่การบอกให้ก้มหน้าทนทุกข์ยอมรับชะตากรรมโดยคิดเสียว่าเป็นเรื่องของกรรมเวร และการเยียวยาก็ไม่ใช่การลงโทษผู้กระทำการข่มขืนด้วย


..................



สิ่งที่สังคมต้องการเป็นอันดับแรกเลยสำหรับการเยียวยา ก็คือการที่ผู้กระทำการข่มขืนยอมสำนึกผิด ยอมรับว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นเรื่องที่ผิด ยอมรับว่ารัฐประหารเป็นสิ่งที่ผิด การยึดอำนาจเป็นสิ่งที่ผิด การใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ผิด และการข่มขืนประเทศชาติซึ่งไม่ได้เป็นของ คปค.เพียงกลุ่มเดียวนั้นเป็นสิ่งที่ผิด.