Skip to main content

เก็บอยู่ในหัวใจ

คอลัมน์/ชุมชน

เพลง: เก็บอยู่ในหัวใจ         ศิลปิน: ศิรศักดิ์ อิทธิพลพาณิชย์


 


คืนอาจจะหมุนผ่าน วันอาจจะหมุนเวียน


บางสิ่งยังเหมือนเก่า บางอย่างยังไม่เปลี่ยน จากวันที่พบกัน


ภาพตอนที่ฝนพรำ ภาพยามดอกไม้บาน


ภาพรอยยิ้มของเธอ ความสุขทุกๆอย่าง ยังเก็บมันเอาไว้


 


(เก็บอยู่ในหัวใจของฉัน เก็บคืนวันงดงามที่มี)


จดจำทุกชั่วโมงที่ดี นาทีที่เราสองคน ได้สบตากัน


เก็บอยู่ในหัวใจดวงนี้ เก็บภาพเธอคนดี ตราบนานจนแสนนาน


ไว้อยู่เคียงข้างใจ ในค่ำคืนและวัน ที่ฉันขาดเธอ


 


ถึงอยู่เพียงผู้เดียว นับต่อจากนี้ไป


ฟ้าอาจจะไร้ดาว หนาวเหน็บสักเท่าไหร่ แต่ใจจะไม่เหงา


 


(เก็บอยู่ในหัวใจของฉัน เก็บคืนวันงดงามที่มี)


จดจำทุกชั่วโมงที่ดี นาทีที่เราสองคน ได้สบตากัน


เก็บอยู่ในหัวใจดวงนี้ เก็บภาพเธอคนดี ตราบนานจนแสนนาน


ไว้อยู่เคียงข้างใจ ในค่ำคืนและวัน ที่ฉันขาดเธอ


 


(เก็บอยู่ในหัวใจของฉัน เก็บคืนวันงดงามที่มี)


จดจำทุกชั่วโมงที่ดี นาทีที่เราสองคน ได้สบตากัน


เก็บอยู่ในหัวใจดวงนี้ เก็บภาพเธอคนดี ตราบนานจนแสนนาน


ไว้อยู่เคียงข้างใจ ในค่ำคืนและวัน ที่ฉันขาดเธอ


 


ไว้อยู่เคียงข้างใจ ไว้เตือนคืนและวัน ที่ฉันเคยมีเธอ


 


(ฟังได้ที่ http://www.weddingmind.com/musicstations/song.php?checkid=48)


 


เพลงนี้ไม่ใช่เพลงใหม่ ผู้เขียนได้ฟังมาตั้งแต่สอนหนังสือที่มินเนโซต้าในช่วง 4-5 ปีก่อน เพราะลูกศิษย์ไทยที่นิวยอร์คส่งมาให้เป็นซีดีเถื่อน บอกว่า "อาจารย์ลองหัดฟังเพลงหวานๆ บ้าง เพราะอาจารย์จริงจังกับชีวิตมากกกก" ผู้เขียนหัวเราะแล้วก็บอกว่า "อ๋อ เครียดนี่มันต้องแก้ด้วยเพลงรักๆ เหรอ" จากนั้นก็เก็บซีดีแผ่นนี้ไว้ในรถคู่ใจ นานๆ เอามาฟังทีนึงโดยเฉพาะตอนขับรถไกลๆ แต่ไม่ได้คิดติดใจเพราะชีวิตแต่ละวันก็มีอะไรให้ฟัง ให้คิดให้อ่าน ถือว่าได้รู้จักนักร้องคนนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน จากเดิมที่ไม่ตามใครเลยเพราะมองว่าไม่จำเป็น


 


เนื้อหาเพลงนี้ชวนให้นึกถึงว่า เกิดมาแล้วเป็นคน น่าที่จะมีการมองอะไรข้างตัวหรือสิ่งที่เรามีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ด้วยความซาบซึ้งและพอใจในสิ่งที่เหล่านั้น ไม่ว่ามันจะดีหรือเลวอย่างไร เพราะว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่มีบทบาทในการกล่อมเกลาตัวเราให้มีตัวตนอย่างที่เป็นในวันนี้ หลายคนรวมทั้งผู้เขียนหลายครั้งที่พลาดไป มัวแต่มองไปข้างหน้า มองไปยังจุดหมายจนลืมมองสองข้างทาง เพราะมีความมุ่งมั่นในจุดหมายและหลายๆครั้งเมื่อได้ถึงจุดหมายดังกล่าวแล้ว มองไปรอบตัวไม่มีใครเลย ทำให้รู้สึกว่าเอ๊ะ เราจะมายืนในจุดนี้ทำไม เพราะเหงาและมันไม่ได้เติมเต็มอะไรกี่มากน้อย


 


ในช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ใหญ่หลวง หลายๆ คนไม่พอใจ บ้างไม่พอใจแต่ก็ไม่ขัดข้องใจ หลายคนโล่งใจ หลายคนยังโวยวายว่านี่ไม่ใช่ทางออกที่ดี ผู้เขียนได้แต่จับตามองตามประสาคนที่มองว่าตนเองเป็นแค่ลูกมดลูกเห็บที่ไม่ได้มีบทบาทอะไรนักหนา แม้จะมีเสียงหนึ่งแต่ด้วยว่าไม่ได้เป็นคนเดือนอะไรต่อมิอะไรอย่างที่เค้าว่ากัน ขนาดเกือบตายในพฤษภาฯทมิฬ ก็เป็นไปแบบลูกนายทุนเพราะขับรถหนีออกมาก่อนยิงกันตาย เมื่อออกมาแล้วก็ถามตนเองเหมือนกันว่าถ้าเราตายไปมันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นรึเปล่า ซึ่งก็ตอบได้ว่าก็เปล่าเลย  อีกทั้งมานั่งถามต่ออีกว่าบรรดาผู้คนที่อุทิศชีวิตเหล่านั้นจะมีใครในวันนี้คิดถึงอย่างแท้จริง ซึ่งตอบไม่ได้แต่ที่เห็นๆ ก็คือคนที่บังเอิญไม่ตายนั่นแหละเป็นคนมาเอาเครดิตกันทั้งนั้น


 


เพราะเหตุการณ์คราวนั้น ทำให้ผู้เขียนคิดว่าจะต้องทำอะไรบางอย่างให้ได้เมื่อคราวไปเรียนต่อเอก พอกลับมาก็อยากจะบอกกับสังคมนี้ว่า ไอ้นี่ต้องเป็นแบบนี้ แบบนั้น และเมื่อได้ทำไป ก็ถูกเข้าใจผิดจากคนรอบข้างในกระแสหลัก เช่น บอกว่าเป็นคนหัวรุนแรง เอียงซ้าย ทั้งที่คนที่เอียงซ้ายจริงหัวรุนแรงจริงกลับมองผู้เขียนว่าเป็น "คุณหนู" เสียด้วยซ้ำ ผู้เขียนช้ำใจจนมุ่งมั่นว่าต้องย้ายถิ่นฐานให้ได้ เพราะเข็ดกับสังคมไทยนี้แล้ว จึงหายไปเสียหลายปี ในที่สุดก็ต้องกลับมาเพื่อพ่อแม่ เพื่อคนที่ยังรักและต้องการผู้เขียนในสังคมไทยนี้ และเพื่อตนเองที่ตระหนักได้ว่ารากของตนเองอยู่ที่เมืองไทย


 


ความรู้สึกอย่างผู้เขียนแบบนี้อาจเป็นความรู้สึกของคนที่เริ่มแก่ และพบว่าความสุขที่แท้จริงของบางคนไม่ใช่อยู่ที่ความสำเร็จที่ตั้งไว้ แต่อยู่ที่ว่ามีคนที่เรารัก มีคนที่ไม่ทำร้ายเรา และ มีคนที่เราพอทำประโยชน์ให้ได้บ้าง แม้บางทีอุดมการณ์อาจต้องโยนทิ้งไปบ้างก็ตาม หลายครั้งที่ผู้เขียนถามตัวเองว่าทำไมใครบางคนจึงสามารถตัดทุกอย่างตรงนี้และมุ่งมั่นเพื่อจุดหมายทางอุดมการณ์จนลืมมองคนรอบข้าง ดอกไม้ข้างทางได้ ทั้งที่จุดหมายทางอุดมการณ์หรือความรู้สึกที่ดีของคนรอบข้างล้วนถือเป็นสมมติสัจจะ  เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเรื่องของสัญชาติญาณที่จะเอาชนะกันและกัน


 


จำได้ว่าตอนเรียน Critical Approaches in Organizational Communication นั้น Dennis Mumby ที่เป็นผู้สอนบอกว่า องค์กรเช่นเดียวกับสังคมมหภาคนั้นสามารถเปรียบได้เหมือนสมรภูมิเพื่อช่วงชิงอำนาจ สมาชิกทุกคนอยู่ด้วยกันบนกรอบของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ทุกคนต้องการอำนาจและแย่งชิงกัน เมื่อเถลิงอำนาจแล้วก็ต้องการรักษาอำนาจเอาไว้ และมองว่าต้องเปลี่ยนแปลงระบบเดิมๆที่ตนเองไม่พอใจ ซึ่งระบบใหม่ๆ ที่สร้างขึ้นก็กลายเป็นระบบเก่าในเวลาต่อมา และก็จะมีคนรุ่นใหม่ๆมาท้าทายระบบที่ตนเองตั้งขึ้น มันก็จะหมุนไปแบบนี้เรื่อยๆ หมุนไปอย่างนี้เป็นวงจรไม่รู้จบ  ที่สำคัญคือทุกอย่างย่อมมีวันเปลี่ยนแปลง จะช้าหรือเร็ว มากหรือน้อยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง


 


เหตุการณ์ต่างๆ ที่เพิ่งผ่านมาในสังคมไทยไม่นานมานี้ ทำให้ผู้เขียนเห็น "วงจร" ในเรื่องการเปลี่ยนมือของอำนาจ น่าเห็นใจที่ว่าหลายคนยังมองว่าจุดยืนของตนเองถูกต้องที่สุด และของคนอื่นผิด ซึ่งจุดนี้ก็ไม่ต่างกับการเปลี่ยนตำแหน่งของวงจรจากการที่พยายามขับไล่รัฐบาลเดิม มากลายเป็นความไม่พอใจรัฐบาลใหม่ เหมือนกับจะพยายามหาสิ่งที่สมบูรณ์แบบในโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบ ซึ่งในมุมหนึ่งถือเป็นเรื่องดีเพราะทำให้เกิดการเรียนรู้และเติบโตทางปัญญาได้ แต่อีกมุมหนึ่งถือเป็นเรื่องที่เหนื่อยเปล่าและนำพามาซึ่งความทนได้ยากหรือทุกข์นั่นเอง ดังนั้นผู้มีปัญญาเท่านั้นจึงจะสามารถมองและแยกแยะได้ และไม่ทุกข์จนเกินไปนัก


 


วันนี้ ผู้เขียนนึกถึงเพลงนี้ได้ รู้สึกดีขึ้นที่ได้มานั่งฟังเพลงหวานแหววบ้าง แต่ก็แค่ประเดี๋ยวประด๋าว เพราะมีอะไรต้องทำอีกแยะ เพราะชีวิตนั้นไม่ได้มีแค่มุมเดียว ดอกไม้ริมทาง ต้นไม้ข้างทาง และคนรอบข้างล้วนเป็นองค์ประกอบต่างๆ ที่ทำให้ชีวิตของเราเติมได้เต็มแล้วก็ไม่เหี่ยวเฉาจนเกินไป


 


นี่ยังมานั่งคิดต่อเลยว่า ช่วงที่ผู้คนถ่ายรูปกับรถถังและบรรดาทหารเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ได้ไปสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด  ถือเป็นเรื่องน่าสนใจอีกเรื่อง  เพราะหากลองมองเรื่องนี้ในมุมมองอีกแบบอาจทำให้เราสร้างความหมายของปรากฏการณ์ต่างจากกรอบที่เราเคยคิดบ้าง  ซึ่งคงไม่เลวจนเกินไปนัก