Skip to main content

ราตรีเดือนกระจ่างฟ้า

วันนี้ ท้องฟ้าโปร่งโล่ง ทุ่งฟ้าสีฟ้า สำลีเมฆเริงระบำงามตา


...ฉัน ควบม้าขาวออกจากบ้านน้องชายที่งดงามอีกคนหนึ่งของฉัน "ภู  เชียงดาว"...นักเขียน-นักข่าวหนุ่มแห่งดอยหลวงเชียงดาว ที่มาเช่าบ้านอยู่อำเภอแม่ริม, เชียงใหม่


 


...ม้าขาวตัวโปรดพาฉันมุ่งสู่แผ่นดินตะวันตก มี ดอยสุเทพสีเงินเป็นฉากงามตระหง่าน พระธาตุดอยสุเทพ พริบ พริบ พริ้ม ทอประกายแสงแห่งศรัทธาเปล่งจ้า ฉัน นบน้อมกราบไหว้ในหัวใจ เอมอิ่มหทัย แล้วหวนนึกถึงวัยวันที่ผันผ่านมาช้านาน...แต่ก่อนกระโน้นที่บ้านฉันมองเห็นพระธาตุดอยสุเทพเด่นชัด เพราะไม่มีตึกรามบ้านช่องใหญ่โตมาเบียดบัง...แม่ยกมือไหว้พระธาตุดอยสุเทพทุกคืน พระธาตุยามราตรีเปล่งประกายสีทองยามยลดูดั่งสวรรค์วิมานชั้นฟ้า กลางคืนมองมิเห็นดอย เห็นเพียงพระธาตุฯ เจิดประกายกลางทุ่งฟ้าเรืองรอง


 


...มาบัดนี้ บ้านฉันในเมืองมิมีวาสนาเห็นพระธาตุฯอีกแล้ว ทั้งยามทิวา – ราตรี...โอ้...


 


...ม้าขาวคู่ใจควบฝีเท้าไปช้าๆ ฉันเอื้อมมือตบแตะแผงคอม้าแผ่วเบาๆ


"ลูกเอ๋ย...เร่งฝีเท้าหน่อยใกล้จะถึงแล้ว"


 


...ดั่งม้าศึกที่รู้ใจนาย เปรียวม้ากระโจนเผ่นโผนควบฝีเท้าพุ่งทะยานไปข้างหน้า มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางแห่งหัวใจ เรามาถึงเชิงดอยสุเทพใกล้วัดอุโมงค์ ผ่านเข้าสู่จุดหมายปลายทาง...ฉัน ปล่อยม้าขาวเป็นอิสระ ณ บริเวณบ้านน้องชาย น้องสาวและผองเพื่อนมนุษยชาติผู้งดงามที่มาสร้าง "ฐานที่มั่นที่ไว้ใจได้" ของตัวเอง แต่ละคนก็ออกแบบบ้านที่ตัวเองชื่นชอบ...เป็นชุมชนน้อยๆ ที่งดงาม ท่ามกลางพรรณไม้ ดงดอยป่า นกหนู สัตว์ไพร ฯลฯ


 


... "คำ พอวา" เปิดประตูออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม เราโอบกอดกัน


"คำ พอวา" หรือ "สุวิชานนท์ รัตนภิมล" เป็นหนึ่งในน้องชายที่งดงามอีกชีวิตหนึ่งแห่งฉัน


"กล้วย...กุหลาบ รัตนภิมล" งามคือเพื่อนชีวิตเขา แล "หนูธันวา" คือบุตรชายที่อยู่ในอ้อมอกอันอบอุ่นแห่ง "The old couple" (คู่ทุกข์-คู่ยาก) คู่นี้


 


"นนท์ อ้ายมารบกวน ขอสิงสถิตอยู่นี่ซักสองสามวันคับ" ฉันยิ้มด้วยความเกรงใจ


 


"โอ๊ะ...อ้ายแสงดาว ตามสบายเลยครับ เป็นบ้านที่สองของอ้ายอยู่แล้ว"


กวี-นักเขียนหนุ่ม เอ่ยเสียงนุ่มนวล ฉันเห็นประกายดวงดาวในดวงตาน้องชายเปล่งใสวาวงาม


เขาคือคนหนุ่มที่เป็น "คนเดินทาง" และ "เดินตามใจ" ของใจจิตวิญญาณแห่งเขา เป็นอีกคนหนึ่งที่ฉันคารวะในวิถีชีวิตแห่งเขา


 


"อ้ายมาสิงอยู่นี่ ระวังเน้อ บางคราอาจเจอ โขลงช้างมายื่นงวง ยื่นงามาทักทายให้ขนลุกเล่น" เขายิ้มสัพยอก


 


"โอ๊ะ ช้างมาจากไนท์ซาฟารีของพี่ปอดเหรอ...น่าสงสารสัตว์นะ คนบาปนำมากักขัง น่าเวทนา บาปกรรมจริงๆ...ไม่เป็นไรหรอก เราทักทายกันได้" ฉันยิ้มรำพึงรำพัน


 


"หมาป่าตวยเน้อ นนท์ ยังเหลืออีกกี่ตัว ที่พี่ปอดเอามากักขัง" ฉันหยอกเอินบ้าง


"นนท์ไม่ต้องพะวงเน้อ อ้ายจัดการตัวเองได้ หิวก็หาของกินในครัว ง่วงก็นอน ตามสบายนะ ทำงานเขียนของนนท์ไปเลย อ้ายขอยืมพื้นที่ข้างล่างนี้ชั่วคราว" ฉันบอกน้องชาย เขาพยักหน้ายิ้ม...


 


มองตาก็รู้ตา – มองใจก็รู้ใจ...เรารู้ใจกันมานานแล้ว


 


"นอกจากคิดถึง นนท์ กล้วย ธันวา แล้ว อ้ายจะมาขอรบกวนนนท์ช่วยพิมพ์คอมฯ ต้นฉบับให้อ้ายด้วย อ้ายกำลังเกลางานบทกวีส่งวาระครบรอบสามสิบปี หกตุลาฯ อ้ายมีความรู้สึกร่วมมากเลย เพราะอ้ายอยู่ในยุคสมัยนั้น"


 


"ใส่เลยอ้าย..." ประกายตาสดใส ...คำว่า "ใส่เลย" ก็หมายถึงให้ฉันลุยงานเขียนนั้นเลย ฉันหัวเราะชอบใจ


 


เ สี ย ง รถยนต์ดังที่ประตูบ้าน หญิงสาวเดินมายกประตูรั้วไม้ออก เธอเอารถมาจอดในบริเวณบ้าน...ฉันเดินเข้าไปหา...


 


"โอ้ พี่แสงดาวมาแอ่ว..." เธอยิ้มเดินออกจากประตูรถ ฉันโอบกอดเธอ...


น้องสาว...พยาบาลสาว ผู้มีใจงาม... "ฟลอเร้นซ์ไนติงเกล"...ฉันมักเรียกขานเธอเช่นนี้


 


ร า ต รี จั น ท ร์ ก ร ะ จ่ า ง ฟ้ า


 


"น้องธัน...พระจันทร์สวยจริงๆ เห็นไหมคับ" ฉันโอบกอดหลานชายตัวน้อยๆ ชี้ให้ดูดวงจันทร์ด้านบูรพาทิศ นัยน์ตาหลานชายวาวใส เขาจ้องมองพระจันทร์ทรงกลดผ่านกิ่งไม้ ใบไม้ ยามค่ำคืน


 


"น้องธัน อยากวาดพระจันทร์" เด็กน้อยเปล่งประกายดวงตา ฉันรีบเอามือควานย่าม หยิบกระดาษเปล่าเอสี่ ที่ คำ พอวา เมตตามอบให้...แล้วลีลาศิลปินน้อยก็เริงรำ


 


หนูธันวา มอบภาพวาดให้ฉันหนึ่งภาพ และเก็บไว้ให้ "แม่กล้วย-พ่อนนท์" อีกหนึ่งภาพ


 


ย ล เดือนงามฉ่ำฟ้า


ฉันฉ่ำใจอดใจมิได้ที่จะไม่สื่อสารความงามสู่ "น้องสาว...หญิงสาวแห่งดวงตะวัน" เพื่อนร่วมโลกแห่งฉัน


 


"เฮ...หนูอรุณ ออกมาดูพระจันทร์ยัง งามเต็มดวงเลย อ้ายอยู่บ้านอ้ายนนท์..โอ้พระจันทร์ทรงกลดซะด้วย" ฉันเล่าขานสื่อสารผ่านสารไร้สาย


 


"เห็นแล้วจ้า สวยมากเล๊ย..." เธอตอบมาตามสาย


"อ้าย อย่าลืมคืนนี้ หลังเที่ยงคืน ดู จันทรคราส เน้อ" เธอย้ำเตือน


"ขอบคุณจ้า โอ้...ลืมไปเลย ถ้าไม่เตือน" ฉันนึกขึ้นได้ และบอกเธอว่า "หนูธันวา" โซโล่ ปาดป้ายวาดพระจันทร์อย่างมันมือมากเลย


 


เธอถามถึง "ปี้แอ๊ด...สุนทรี เวชานนท์" ศิลปินหญิงล้านนาอิสระ ที่เป็นหนึ่งในแปดอรหันต์ทองคำที่ถูกบุคคลที่น่าเวทนาใส่ร้ายป้ายสีขึ้นทะเบียนแบล็คลิสท์ ที่ออกมาร่วมเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เพื่อรากเหง้าวิถีชีวิตของล้านนาร่วมกับชาวล้านนา และผู้รักความเป็นธรรม ฯลฯ


 


ฉันบอกเธอว่า "ปี้แอ๊ด" เป็นคนที่เข้มแข็งมั่นคงเสมอ ขณะนี้ "ร้านเฮือนสุนทรีฯ" ได้ย้ายไปอยู่ที่ "บ้านท่อ-เมืองลัง" ถนนเลียบน้ำปิง เป็นที่น้ำไม่ท่วม ฉันและเพื่อนๆ ไปให้กำลังใจและร่วมเปิดร้านใหม่ด้วย


 


"หาไม่ยากดอก วันหลังจะชวนพวกเราไป" ฉันบอกเธอ


 


...ราตรีนี้ มี เพื่อนบ้านที่ดีงามสี่คนมาเยือน... "ก้อย...สกุณี ณัฐพูลวัฒน์" นักเขียน, "สมคิด" ศิลปินอิสระ, "หนูเก็จ และ หนูจ๋า" เจ้าของร้านหนังสือ "ร้านเล่า" เรากินดื่มพูดคุยสนทนากันอย่างออกรส ทั้ง สาระบันเทิง วรรณกรรม เศรษฐกิจ การเมือง ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ


 


"คุณหมออุทัยวรรณ ส่งข่าวมาบอกว่า คุณหมอแกเบื่อเป็นหนึ่งในแปดอรหันต์ทองคำแล้ว ใครอยากมาแทน แกจะสละตำแหน่งให้..." ฉันเอ่ยขึ้นมาหน้าตาเฉย แต่ก็อดยิ้มมิได้


 


"นนท์ น่าจะไปแทนตำแหน่งได้ ยิ่งกว่าตำแหน่งโนเบลไพร้ส...แบล็คลิส โนเบลไพร้ส ไง" ฉันพูดต่อ หันหน้าไปทางนนท์ ทุกคนปล่อยก๊ากใหญ่


 


"เขาหาว่า คนที่ต่อต้านความไม่ถูกต้องดีงาม เป็นคนขึด คือเป็นคนเสนียด" เสียงสนทนารำพึงมา


 


"บุคคลที่ ขึด น่าจะเป็นพวกที่เล่ห์เหลี่ยมจัด และพวกพ้องบริวาร"


 


"ระวังพวกหมาบ้าจะออกมาอาละวาด เป็นหมาบ้าที่มีสองตีน เดินตัวตรงตั้งฉากกะท้องฟ้า โปรดระวังหน่อยเน้อ" น้องชายโพล่งออกมา เราหัวเราะพร้อมๆ กัน น้องชายคนนี้เขางดงามในจิตวิญญาณ รักโลก รักชีวิต เช่นเดียวกับผู้งดงามอื่นๆ


 


...เหล่านี้ล้วนเป็น "ผ.ก.ก.ด." (ผู้ก่อการดี)


 


...บุคคลที่ไม่พึงปรารถนาคบหาสมาคมด้วย น่าจะเป็นคนที่ตรงกันข้ามกับเพื่อนพ้องพี่ครูบาอาจารย์แปดอรหันต์ที่งดงามน่าคารวะ นิรันดร์


 


...ไม่เป็นไร กาลเวลา จะเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรมที่สุดสำหรับประชาชน


 


...ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว ทุกคนลากลับ ฉันควบม้าขาวฝ่าความมืดของพุ่มไม้ เบื้องบน ดวงจันทร์แจ่มกระจ่าง ฉันเดินทางไปสุดสะแนน ร้านดนตรีที่ดีงาม...เวลามีการชุมนุมของประชาชนที่ต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม นักดนตรีที่นี่มักจะไม่พลาดในการไปร้องเพลงให้กำลังใจ


 


...พระจันทร์งามเจิดจ้า ในขณะที่ราหูกำลังเคลื่อนอมจันทร์ แต่ก็กลืนไม่มากนัก เมื่อถึงเวลาก็เคลื่อนออก...ฟ้าแจ่มกระจ่างดังเดิม...เหมือนดั่งความมืดที่กำลังกลืนกินโลก-สังคม ในขณะนี้...


 


อีกมินาน...มินานความสว่างไสวก็ต้องมาแทนที่.


 


พรรษาฤดู, ล้านนาอิสระ, เชียงใหม่