Skip to main content

อัญจารี กลับมาแล้ว

คอลัมน์/ชุมชน

เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน  หญิงรักหญิงสี่คนที่ทำงานในแวดวงผู้หญิง  ได้มาร่วมพูดคุยกันถึงปัญหาการเป็นหญิงรักหญิง   แม้ว่าทั้งสี่จะเป็นผู้ที่ทำงานเพื่อสังคม  แต่พวกเขาตระหนักชัดว่าสังคมไม่ได้เปิดพื้นที่สำหรับการเป็นหญิงรักหญิงของพวกเขาแต่อย่างใด  ความรู้สึกของพวกเขาคือ "อึดอัด" กับภาวะเช่นนี้  และต้องการจุดกระแสการ "เปลี่ยนแปลง"



 


นี่เองคือที่มาของการก่อตั้งกลุ่มอัญจารี  องค์กรของคนรักเพศเดียวกันองค์กรแรกในประเทศไทย


งานในยุคแรกนั้นเป็นการสร้างกลุ่มภายใน  เปิดโอกาสให้หญิงรักหญิงได้มาพบปะพูดคุยกัน  เพื่อสร้างพื้นที่สำหรับหญิงรักหญิงที่หาได้น้อยนิดในสมัยนั้น  ต่อมากลุ่มได้ขยายงานออกสู่สังคมวงกว้าง  มีการสร้างความเข้าใจเรื่องคนรักเพศเดียวกัน  จุดประกายให้สังคมกลับมามองปัญหาของการเลือกปฏิบัติที่คนรักเพศเดียวกันต้องเผชิญ  โดยทำงานร่วมมือกับองค์กรภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนอื่น ๆ 


 



จากกลุ่มเล็ก ๆ ของผู้หญิงสี่คน

  ชื่อของอัญจารีกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป  กระแสตอบรับที่กลับมามีทั้งในแง่บวกและการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง  อย่างไรก็ดี กล่าวได้ว่ากลุ่มอัญจารีสามารถจุดกระแสให้สังคมถกเถียงเรื่องคนรักเพศเดียวกันมากกว่าที่เคยเป็นมา   



หากแต่ว่าสามปีที่ผ่านมานี้
  ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างทำให้กลุ่มอัญจารียุติการทำงานลง  ในขณะที่มีกลุ่มเกย์และกลุ่มหญิงรักหญิงอื่น ๆ เกิดขึ้นมากมาย 



ปลายเดือนสิงหาคม
2549  ชื่อของอัญจารี กลับมาปรากฏต่อสาธารณชนอีกครั้ง  ในการแถลงข่าวงานไพรด์  ประจำปี 2549  บุคคลที่ร่วมแถลงข่าวในฐานะตัวแทนอัญจารีนั้นคือ  อัญชนา สุวรรณานนท์  หนึ่งในผู้หญิงสี่คนที่ร่วมก่อตั้งกลุ่มอัญจารี  เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน  




กลุ่มอัญจารีจะกลับมาทำงานอีกครั้งหรือ
  รูปแบบการทำงานจะเป็นเช่นใด  หรืออัญจารีจะกลับมาจุดประเด็นอะไรให้สังคมได้ถกเถียงกันอีก  พี่อัญชนา  ได้ให้ความกรุณามาตอบคำถามเหล่านี้  




 ?
ปัจจุบันนี้ดูเหมือนว่าชาวเกย์ หญิงรักหญิง (ญรญ) ไม่ว่าจะทอม ดี้ เลส  ต่างก็สามารถพบปะกันได้มากขึ้นในกลุ่มของตัวเอง  ตามงานปาร์ตี้  ตามบาร์สำหรับผู้หญิง  นี่เป็นภาพที่แตกต่างกันมากจากยี่สิบปีที่แล้ว  พี่คิดว่าภาวะเช่นนี้เพียงพอหรือยัง 




แน่นอนว่ายังไม่พอค่ะ
   อันนี้ต้องมองด้วยว่าเราอยู่ในสังคมบริโภคนิยม พื้นที่ที่เพิ่มขึ้นมานี้ (ในเรื่องสถานบันเทิงที่มีมากขึ้น) เป็นประโยชน์ของผู้หญิงชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อ และอยู่ในเมืองใหญ่ ผู้หญิงในกลุ่มรายได้น้อยคงไม่มีโอกาสสนุกสนานตรงนี้ ฉะนั้นพื้นที่ของผู้หญิงในวงแรงงานหรือระดับล่างยังแคบอยู่ อันนี้ยังต้องหาทางออกด้วยวิธีการอื่น




ภาวะในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยผู้หญิงกลุ่มหนึ่งสามารถมีอิสระในการใช้ชีวิตส่วนตัว
  มีพื้นที่มากขึ้น  มีทางเลือกมากขึ้นแล้ว ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ดีมาก  และก็ควรจะมีพื้นที่เช่นนี้เพิ่มขึ้นอีก  แต่พี่คิดว่ามันไม่ใช่เฉพาะการที่ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งสามารถเลือกใช้ชีวิตเป็น ญรญ  หรือมีแฟนเป็นผู้หญิงเท่านั้น  แต่ผู้หญิงทุกคนน่าจะสามารถเลือกใช้ชีวิตที่ตัวเองต้องการได้  ไม่ว่าจะเป็นเลือกว่าจะอยู่คนเดียวหรือแต่งงาน  เลือกที่จะฟ้องหย่าสามีที่แอบไปมีความสัมพันธ์อื่นได้  ยกตัวอย่าง ตอนนี้กฎหมายอนุญาตให้ผู้ชายสามารถฟ้องหย่าได้ในกรณีที่ภรรยาไม่ซื่อ  แต่เราไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจากสามีได้โดยใช้สาเหตุเดียวกัน  ตัวอย่างกฎหมายนี้ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดเรื่องเพศที่เป็นอยู่




แล้วยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากทางเลือกในชีวิตอีก
  เช่น  ผู้หญิงทุกคนควรจะมีอิสรภาพที่เท่าเทียมกับผู้ชาย  หรือไม่ว่าจะมีวิถีทางเพศอย่างไรเราก็ควรจะสามารถดูแลร่างกายและชีวิตทางเพศของเราได้อย่างเต็มที่  โดยรู้สึกปลอดภัยจากความรุนแรงต่าง ๆ  หรือไม่ต้องถูกกดดันให้ทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำ  เราผู้หญิงควรจะสามารถมีความสุขทางเพศได้  แล้วความสัมพันธ์ทางเพศสำหรับทุกผู้ทุกคนควรจะเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายพร้อมใจ  และกระทำอย่างมีความสุข  พี่ได้ยินเสียงบ่นมามากจากเพื่อนผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับผู้ชาย  เขาไม่รู้ว่าการมีความสัมพันธ์ทางเพศนั้นก็เพื่อตัวเขาเองด้วย  เขาจะคิดว่าที่ทำนี่ก็เพื่อผู้ชาย  เพื่อแฟนเขาเท่านั้น 




ผู้หญิงเราถูกจำกัดและควบคุมด้วยกฎบางอย่างที่มันมองไม่เห็นชัด
  ถ้าคุณก้าวข้ามออกมาจากที่ ๆ จำกัดคุณไว้แล้ว  อย่างถ้าคุณมีความสัมพันธ์กับคนหลายคน  คุณจะถูกประณามมากกว่าผู้ชาย  เรามีเรื่องนางวันทองสองใจ  ที่ถูกสั่งประหารชีวิตเพราะเธอไม่ใช่ผู้หญิงดี  แต่ขณะเดียวกันขุนแผนเอง  ซึ่งจริง ๆ เป็นพวกล่อลวงผู้หญิง  กลับถูกยกย่องให้เป็นพระเอก  เพราะสามารถใช้เสน่ห์ทำให้ผู้หญิงเข้ามาหาได้  ความคิดอย่างนี้มันฝังแน่นอยู่ในสังคมและในความคิดของเรา  ผู้หญิงก็ยังมองผู้ชายแบบนั้น  ผู้ชายเองก็มองผู้หญิงด้วยวิธีคิดเช่นนี้เหมือนกัน  นี่เป็นสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง  ไม่ใช่เฉพาะว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ ญรญ มีพื้นที่มากขึ้น  แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงการกำหนดกฎเกณฑ์ของสังคมที่บอกว่าให้ผู้ชายต้องเป็นอย่างนี้  ผู้หญิงต้องเป็นอย่างนั้น 


เราทุกคนควรจะสามารถเป็นคนทั้งครบและเท่าเทียมกันได้  มันเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบคิดในด้านความสัมพันธ์  เซ็กส์  และความรักใหม่ทั้งหมด  ถ้าเราสามารถทำเช่นนี้ได้  มันจะช่วยแก้ปัญหาทางเพศและปัญหาสังคมได้อย่างมาก


? พี่คิดว่าจะสามารถเปลี่ยนทัศนคติเรื่องเพศได้หรือ  เพราะสังคมเรามักจะไม่ค่อยพูดถึงเรื่องเพศ  ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ต้องเก็บเป็นความลับ  เป็นเรื่องส่วนตัวมาก ๆ


พี่ว่าเราพูดเรื่องเพศกัน  แต่ไม่ได้พูดแบบที่พี่พูด  เราพูดถึงเรื่องเพศของคนอื่น  เรานินทาหรือเอามาทำเป็นเรื่องตลก  แล้วแต่ละเรื่องที่พูดก็แสดงทัศนคติที่ฝังลึกอยู่ออกมา  อย่างคำว่าหลายใจ  คำนี้เรามักจะใช้กับผู้หญิง  แต่กับผู้ชาย  เราใช้คำว่าเจ้าชู้แทน  เท่านี้ก็เห็นแล้วว่าเราเลือกที่จะพูดถึงผู้หญิงกับผู้ชายด้วยวิธีที่แตกต่างกัน  น้อยมากที่เราจะพูดถึงเซ็กส์ พูดถึงความรักในแง่ที่เราให้ความสำคัญ  ให้ความเคารพ  ให้ความรับผิดชอบและความเท่าเทียมกัน  ให้เห็นว่าเรื่องที่คนสองคนตัดสินใจทำร่วมกันในพื้นที่ส่วนตัวนั้นเป็นเรื่องที่ต้องให้ความเคารพ  เรากลับพูดถึงมันในแง่ที่มีอคติและไม่เคารพ  และนี่เป็นสิ่งที่เกย์และ ญรญ ต้องเผชิญ  คนจะคิดว่าเราจะพูดอย่างไรเรื่องเซ็กส์ของเกย์  เซ็กส์ของ ญรญ ก็ได้  นี่มันไม่ใช่เซ็กส์ของพวกเขาแล้วพวกเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องมาเคารพอะไร แม้จะเป็นเซ็กส์ของผู้ใหญ่สองคนที่ทำด้วยความเต็มใจทั้งคู่


พี่คิดว่าเราพูดถึงเซ็กส์แต่ไม่ใช่ในแง่บวก  เราพูดถึงแต่ในทางลบ  สังคมเราไม่ใช่สังคมที่มีทัศนคติที่ดีกับเซ็กส์  แต่กลับดูถูกว่ามันเป็นเรื่องต่ำ  เรื่องสกปรก  แต่ทุก ๆ คนก็มีกัน  แล้วยังหาเงินจากมันด้วย  ถ้าเราไม่พูดอะไร  เราก็ปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ มันเกิดขึ้นไปเรื่อย ๆ  แต่พอเราพูด  เราก็พูดในมุมที่ทำร้ายและสร้างความไม่สมดุลให้กับความสัมพันธ์ของคนมากยิ่งขึ้น 


นี่เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งของความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกัน  แต่ยังมีความสัมพันธ์อื่น ๆ อีก  อย่างระหว่างคนอายุน้อยกับคนแก่กว่า  คนที่มีเงินมากกับคนที่มีเงินน้อย  เราต้องวิพากษ์วิจารณ์ความไม่เท่าเทียมเหล่านี้ด้วย  แล้วก็พยายามให้คนหันมามองเรื่องเหล่านี้กันใหม่  


? จะทำให้คนเริ่มคิด  เริ่มหันมามองเรื่องเพศใหม่ได้อย่างไร


นี่เป็นสิ่งที่พี่ถามตัวเองทุกวัน  จะทำอย่างไรให้คนคิดใหม่ เป็นคำถามที่ใหญ่มาก  มีสิ่งที่ต้องทำมากมายที่พี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี  แล้ว ญรญ เองก็ยังติดอยู่ในกรอบความคิดว่าผู้หญิงต้องเป็นอย่างนี้  ผู้ชายต้องเป็นอย่างนั้น  มันมีผลกับเรา ญรญ เองด้วย  จริง ๆ แล้ว ญรญ ไม่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่มันเน่าเฟะ  เราควรจะสร้างสังคมที่มีเข้าใจให้กับคนทุกคนรวมทั้ง ญรญ ด้วย


? แต่สำหรับ ญรญ บางคนแล้ว เขาก็ว่าชีวิตทุกวันนี้ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว  จะต้องไปทำอะไรมากมายทำไมอีก


ใช่  แต่เขาก็ได้รับอะไรจากชีวิตน้อยลงด้วย  ซึ่งสำหรับบางคนก็คิดว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว  นั่นก็เป็นทางเลือกส่วนตัวของเขา แต่ถ้าถามพี่และเพื่อน ๆ พี่ที่ทำงานเพื่อสังคม  เราแสวงหาการเปลี่ยนแปลงสังคมมากกว่าจะสร้างพื้นที่เล็ก ๆ สำหรับพวกเรากันเองเท่านั้น  แต่แน่นอนว่าเราก็ต้องมีพื้นที่เหล่านี้เพื่อเป็นแหล่งพลังให้เราสำหรับการผลักดันสังคม  อัญจารีก็ทำงานอย่างนี้มาหลายปี  เราพยายามสร้างพื้นที่สำหรับ ญรญ  ตอนนั้นมี ญรญ จำนวนมากที่เหมือนถูกตัดขาดจากคนอื่น ๆ  การทลายความโดดเดี่ยวเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ  มันทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก  เรายังมีเพื่อนมีชุมชน  และการเป็น ญรญ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร


? ตอนนี้กลุ่มอัญจารีจะทำอะไรที่ต่างไปจากเดิมรึเปล่า


ตอนนี้กลุ่มเรากำลังพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าเฉพาะในกลุ่ม ญรญ เท่านั้น  เรากำลังดูสิว่าจะนำการวิเคราะห์โครงสร้างสังคมด้านเพศสภาวะ ด้านเพศวิถี  มาประยุกต์ใช้ให้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างไรบ้าง  แต่เราจะไม่ทิ้งกลุ่ม ญรญ กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มหลักของเรา  เพราะนี่เป็นจุดเริ่มต้นของเรา 


อีกอย่างที่พี่อยากจะเน้นก็คือตอนนี้เรายังมองเห็นกันว่า ญรญ เป็นอัตลักษณ์หนึ่งที่แยกเด่นชัดจากอัตลักษณ์อื่น ๆ  เราบอกว่ากลุ่มนี้เป็น ญรญ กลุ่มนั้นเป็นคนรักต่างเพศ  แต่จริง ๆ มันไม่เป็นเช่นนั้น  มีคนอีกมากมายที่มีความรู้สึกได้ทั้งสองด้าน  มีคนที่เคยมีความสัมพันธ์ทั้งสองแบบ  หรือช่วงหนึ่งอาจจะเป็นแบบหนึ่ง  แล้วก็เปลี่ยนไปได้  หรือเปลี่ยนกลับมาใหม่ก็ได้เหมือนกัน  สำหรับคนคนหนึ่งแล้วในเวลาหนึ่ง ๆ เราอาจจะรักเพศไหนก็ได้  ปัญหาก็คือ  เราไม่สามารถเปิดใจให้ยอมรับได้  คนที่มีอคติต่อคนรักเพศเดียวกัน ก็ไม่สามารถเห็นได้ว่าในตัวของเขาเองก็สามารถรักคนเพศเดียวกันได้ด้วย  อาจจะมากหรือน้อย เขาจะต้องกดมันเอาไว้  เพราะเขาก็โตขึ้นมากับอคติต่อคนรักเพศเดียวกันและมีอคตินั้นอยู่ในใจ  เลยไม่อยากจะเห็นส่วนนั้นในตัวเขา<