Skip to main content

ฟ้าลิขิต

คอลัมน์/ชุมชน

จั่วหัวเหมือนหนังสือนิยายที่ใครๆชอบอ่าน แล้วได้เคลิ้มไปกับเรื่องราวที่แต่งขึ้น แต่นั่นก็เป็นแค่เรื่องแต่ง หลายคนบอกว่านั่นแหละเค้าเอามาจากชีวิตจริง หลายคนบอกว่านั่นน้อยไป ชีวิตจริงมีมากกว่า ผู้เขียนคิดว่าไม่มีคำตอบใดถูกเนื่องจากว่าชีวิตคือชีวิต แล้วก็ไม่มีใครรู้ ว่าอะไรจะเกิดในชีวิต  แม้ว่าจะมีหมอดูมาช่วยบ้างก็ตาม แต่นั่นไม่ได้รู้ไปซะหมด เรียกว่าถ้ารู้  ชีวิตคงไม่เรียกว่าชีวิตเพราะมันคาดเดาได้ง่ายเกินไป หลายครั้งจึงต้องลุ้นระทึก


 


พูดถึงเรื่อง "หมอดู" ซักหน่อย เมื่อราว 15 ปีที่แล้วผู้เขียนมีเพื่อนเป็นหมอดูโหงวเฮ้ง เดิมทีไม่ได้เป็นเพื่อนแต่เพราะว่าดูกันบ่อยๆ เหมือนเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว จึงเป็นเพื่อนกันในที่สุด เพื่อนหมอดูคนนี้น่ารักมากเพราะเป็นคนมีจิตใจดีและช่วยเหลือผู้เขียนเป็นอย่างมาก แม้ขนาดโทฯมาถามจากสหรัฐฯ ว่าดวงชะตาเป็นอย่างไร เธอก็ตอบให้ไม่คิดตังค์ จนกระทั่ง เมื่อ พฤษภาคม 2537 ผู้เขียนบินกลับมาเยี่ยมเมืองไทยได้ไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล จากนั้นบินกลับไปในเดือน มิถุนายน ปีเดียวกัน โทฯกลับมาเดือนสิงหาคม พบว่าเธอเสียชีวิตแล้ว จึงเกิดอาการช็อกซีเนม่า แต่ยังดีใจที่ได้พบกันก่อนเธอจากไป จำได้ว่าเธอเคยบอกว่าการเป็นหมอดูของเธออาจทำให้เธอมีชีวิตสั้นลงเพราะเอาความลับสวรรค์มาเปิดเผย จากวันนั้นก็ยังจดจำมาจนวันนี้ว่าถ้าจะดูหมอให้ใครต้องระวังเพราะว่าอาจเป็นการทอนอายุตนเอง อันนี้ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ว่าได้ยินมาแบบนี้


 


ผู้เขียนอยู่ในแวดล้อมของหมอดู เพราะที่บ้านทำหนังสือเกี่ยวกับหมอดูขาย แล้วพ่อมีเพื่อนๆลุงๆอาๆเป็นหมอดูทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น พ่อเองก็เป็นคนดูลายมือมือฉมังคนหนึ่ง (เดี๋ยวนี้ดูไม่ไหวแล้วเพราะหง่อมเต็มที) ดังนั้นเวลาผู้เขียนจะสอบเข้าอะไรต่ออะไร ก็จะพึ่งหมอดู เวลามีปัญหาอะไรที่พึ่งวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ก็จะพึ่งหมอดู โดยตั้งวงทำนายกัน แต่กระนั้นเมื่อผู้เขียนโตขึ้นก็มีการออกมาหาหมอดูกันเองกับเพื่อนๆ ดังนั้นงานอดิเรกอีกอย่างหนึ่งของผู้เขียนคือไปหาหมอดู จนได้เจอเพื่อนหมอดูที่ซี้กันและคบกันจนตายจาก ได้วิชาดูโหงวเฮ้งและลายมือแบบไว้ดูเอามันมาบ้างเล็กน้อย


 


สมัยที่ไปเรียนเอก มีงานปาร์ตี้ฝรั่งบ่อยพอควร วิธีที่จะสร้างเพื่อนได้ง่ายคือบอกว่าดูหมอเป็น คือ ดูลายมือ เรียกว่า Palm Readingดูโหงวเฮ้งเรียกว่า Face Reading ฝรั่งเองก็ชอบเรื่องนี้ระดับหนึ่ง สมัยนั้นมีการดูหมอทางโทฯ เรียกว่า Psychic Friends Network[i] คิดเป็นนาทีๆละ 4 เหรียญได้ โทฯกันทีเป็นชั่วโมงๆ เล่นเอาคนหลายคนเจอค่าโทฯบานเบิก เหมือนพวกเบอร์ 1-900 ในเมืองไทยอย่างไรอย่างนั้น สรุปว่าฝรั่งเองก็บ้าหมอดู ผู้เขียนก็ดูให้แบบสนุกๆแต่ฝรั่งนั้นเชื่อเป็นตุเป็นตะ แต่ไม่ทำบ่อยเพระไม่ได้เก่งกาจ


 


จวบจนมาสอนที่มินเนโซต้า มีเพื่อนเป็นคู่สามีภรรยา สามีเป็นอาจารย์ผู้ใหญ่ ภรรยาเป็นบรรณารักษ์ ผู้เขียนมักโดนเชิญ ไปทานข้าวเย็นกันบ่อยๆ เมื่อปีที่สองหรือสามที่รู้จักกัน ผู้เขียนได้ดูลายมือคนที่เป็นสามี บอกว่านี่สงสัยจะต้องเดินทางไกลหรือเปลี่ยนที่อยู่ พอดูภรรยาบอกว่าไม่มีเส้นเดินทางไกล พออีกปีหนึ่งสามีได้งานใหม่และต้องย้ายไปแคนาดา ส่วนภรรยายังย้ายไม่ได้แล้วกลายมาเป็นคู่ซี้ของผู้เขียนก่อนกลับมาเมืองไทยเพราะสามีต้องย้าย ภรรยาเธอก็บอกว่าผู้เขียนดูหมอแม่น ท้ายสุดเธอมาถามว่าเธอจะขายบ้านได้มั้ย ผู้เขียนบอกว่าไม่เกินสามเดือน สองอาทิตย์ถัดมาขายได้ เล่นเอาเธอไปกระจายข่าวว่าผู้เขียนดูลายมือแม่น โชคดีที่เมืองนั้นคนเคร่งศาสนามากจึงไม่นิยมดูหมอหรืออาจเป็นเพราะไม่ค่อยเชื่อน้ำยาหมอดูกำมะลอแบบผู้เขียนเลยไม่มีใครมาขอให้ดูลายมือ เลยรอดตัวไป


 


เมืองไทยนี้ดีมากเพราะหมอดูเต็มไปหมด ผู้เขียนจึงใช้บริการหมอดูจากใครต่อใครมากกว่าที่จะดูให้ใคร ที่ผู้เขียนนับถือมากๆคือคุณน้าที่เป็นเพื่อนคุณแม่ ทุกครั้งที่คับข้องใจหาทางออกแบบวิทยาศาสตร์ไม่ได้ วิชาการที่เรียนมาไม่สามารถให้คำตอบพึงพอใจต้องพึ่งหมอดู ใครจะว่าผู้เขียนเชื่องมงายก็ตามเถิดแต่มันเป็นทางออก เพราะว่ามันทำให้เราพร้อมที่จะรับกับปัญหา คุณน้าไม่ได้บอกให้สะเดาะเคราะห์อะไรทั้งสิ้นแต่บอกว่าต้องทำใจให้นิ่ง ขอบอกว่าแม่นแบบจับวาง ดังนั้นผู้เขียนเป็นหนี้บุญคุณคุณน้าคนนี้อย่างที่สุด นี่กำลังคิดอยากจะเรียนดูหมอจริงๆจังๆซักทีแต่ไม่มีเวลามานั่งเรียนเลยเพราะงานแต่ละวันก็แยะ


 


เล่ามาเสียตั้งนานก็เพราะว่าเมื่อชีวิตผ่านไป ทำให้มุมมองในการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป โดยเฉพาะการที่เชื่อว่า "สุขใดอยู่ที่ใจ"กลายเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ หลายๆคนรอบข้างผู้เขียนบอกว่าผู้เขียนเปลี่ยนไป โดยเฉพาะที่ว่าเย็นขึ้น สงบขึ้น แล้วก็พยายามเข้าใจคนมากขึ้น ไม่ค่อย "วีน"แบบแต่ก่อน และที่สำคัญมองว่า "สัตว์โลกมีกรรมเป็นของตนเอง" หรือ           "สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม" หรือ "กรรมมุนา วัตตีโลโก" เพราะไม่มีใครหนีกฎแห่งกรรมไปได้ ในศาสนาอื่นๆก็มีความเชื่อในทำนองเดียวกันนี้ ส่วนคนที่เชื่อในความเป็นเลิศของมนุษย์หรือ "มนุษยนิยม" เองในระดับหนึ่งก็ยอมรับในข้อจำกัดบางอย่างของมนุษย์และยอมรับว่ามีหลายอย่างที่มนุษย์เองก็อาจไม่เข้าใจได้ง่ายๆ หรือบางอย่างก็มีไว้สำหรับบางคนเท่านั้น ว่าไปก็เหมือนกับฟ้าลิขิตด้วยเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องปล่อยชีวิตของเราให้ล่องลอยไปตามยถากรรมโดยไม่ตริตรองและไม่เรียนรู้ในความเป็นไปต่างๆ ไม่ว่าจะสุขสมหวัง หรือความทุกข์ยาก ความคับข้องใจ ภาวะต่างๆเหล่านี้เป็นเรื่องปกติวิสัยของสัตว์โลก แต่สัตว์โลกที่มีปัญญาจะต้องไม่ไหลไปตามกระแสเหล่านี้โดยไม่มีการเรียนรู้ ดังนั้น ไม่ว่าศาสนาใดแนวความเชื่อใดก็ตาม ก็จะเน้นให้คนมองในจุดนี้มากกว่าเรื่องพิธีกรรม อย่างไรก็ตาม มนุษยนิยมก็ได้มองในจุดนี้ด้วยเช่นกันและให้เข้าถึงความเป็น self-actualization นั่นเอง


 


หลายครั้งที่ผู้เขียนอ่านข่าว อ่านกระทู้ และบทความต่างๆบนเน็ท เห็นความสับสนของผู้คนและสังคมซึ่งมีผลต่อตัวผู้เขียนเองด้วย ทำให้เกิดความอึดอัดหัวใจ  หลายคนมุ่งมั่นเสียเหลือเกิน และที่สำคัญไปตกอยู่ในมายาคติต่างๆ อันหลากหลายออกไปแล้วแต่พื้นฐานและประสบการณ์ชีวิตในแต่ละคน แต่ละคนพยายามที่จะให้คนอื่นๆฟังตนเอง แต่ไม่มีใครเลยที่จะหยุดฟังคนอื่น หลายคนที่ผู้เขียนก็ต้องกระตุกตัวเองว่า "ฟังคนอื่นบ้าง" แต่การที่จะฟังคนอื่นได้อย่างมีสติ เราต้อง "ฟังตนเองอย่างมีสติ"ให้ได้ก่อน เสียดายที่หลายคนไม่เคยคิดฟังตนเองแต่ปล่อยให้ไหลไปตามกระแสหรือฟังเฉพาะในสิ่งที่ตนเองอยากฟัง


 


ก่อนนอนทุกคืน ผู้เขียนจะพยายามฟังตนเอง ถามตนเองว่าวันนี้เราทำอะไรที่เราพอใจที่สุดและไม่พอใจที่สุด แล้วถามต่อว่าทำไม เราจะแก้ไขอย่างไร จากนั้นถามตนเองว่าถ้าเราไม่มีโอกาสได้ตื่นในวันรุ่งขึ้น เราจะรู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมาหรือไม่ ถ้าเราได้ตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นเราจะทำอะไรให้เราเจริญทางปัญญา หรือช่วยให้สังคมดีขึ้นบ้างมั้ย  การนี้ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที บางทีก็สิบนาที หลายครั้งนึกเจ็บใจที่ทำอะไรพลาดไป ทำให้ต้องแผ่เมตตาให้ตนเอง หลายครั้งโกรธแค้นคนรอบข้าง แต่ต้องให้อภัยและแผ่เมตตา การรู้จักทบทวนและคิดแก้ไขช่วยให้ผู้เขียนนิ่งและเย็นมากขึ้น ยอมรับว่ายิ่งแก่นี่ทำได้ง่ายขึ้น แต่บางครั้งเหนื่อยมากหลับตาปุ๊บก็หลับผล็อย แต่ใจไม่หลับเอาไปฝันต่อก็มี ก็แย่เหมือนกัน (อันนี้คงเป็นฟ้าลิขิตให้รีบหลับก็เป็นได้)


 


เมื่อคืนวันศุกร์ไปงานศพของคุณแม่เพื่อนรุ่นน้องที่รักใคร่ชอบพอกันมากว่า22ปี บอกกับเพื่อนรุ่นน้องว่า ทำใจให้สบายเพราะถือว่าคุณแม่ไปสบายและเป็นความจริงแท้ของชีวิต ฟ้าได้ลิขิตกันมาแบบนี้ ได้มาคุยกันต่อถึงเวลาที่พวกเราต้องมองว่าอีก20-30ปี เราจะอยู่อย่างไร ชีวิตวันนี้ไม่เหมือนวันนั้นแน่ถ้าหากฟ้าลิขิตให้ต้องอยู่ยาวขนาดนั้น งานศพจึงมีกุศโลบายให้คนเป็นตั้งคำถามกับตนเองได้ ไม่ไหลจนเกินไปว่าจะอยู่ค้ำฟ้า


 


ผู้เขียนเชื่ออย่างยิ่งว่า  "เวลา" เป็นตัวแปรที่สำคัญของมนุษย์ การเป็นคนที่เริ่มแก่ทำให้มองชีวิตบนพื้นฐานของความจริง เปิดใจได้กว้างขึ้น ยอมรับว่า "ฟ้าลิขิต" ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้มนุษย์ด้อยค่าหรือสูญเสียความเป็นมนุษย์แต่อย่างใด หากแต่สามารถมองโลกได้อย่างเข้าใจและมีความสงบ อันนี้ไม่ใช่หรอกหรือที่มนุษย์ต่างก็มุ่งหวังที่จะมีจะได้ เพียงแต่ว่าเราจะมีปัญญาแค่ไหนในการมองเท่านั้นเอง อันนี้ก็คงเป็นเรื่อง "ฟ้าลิขิต" อีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะว่าหลายคนเกิดมาคงไร้สุขสงบเพราะไร้ปัญญา นั่นคงเป็นเพราะฟ้าลิขิตให้เป็นเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน