Skip to main content

เมื่อความไม่เข้าใจ....มันออกลูกออกหลาน

คอลัมน์/ชุมชน

นกสีน้ำเงิน


 


สองสามวันที่ผ่านมา  ฉันนั่งเครื่องบินกลับมาจาก อ.หาดใหญ่  หลังจากแหวกผู้คนเดินขึ้นมาในกลุ่มสุดท้าย เพราะมัวแต่ไปเข้าห้องน้ำอยู่ ทั้งที่รู้ว่าสายการบินราคาถูกแบบไม่ระบุที่นั่งอย่างนี้ ต้องรีบต่อแถว  เพื่อจะได้ขึ้นไปจับจองที่นั่งก่อน  อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาค่ะ พอเดินขึ้นมาบนเครื่องบินก็สอดส่ายสายตาหาที่นั่ง  และเห็นแต่ไกลว่าที่นั่งเกือบสุดแถว  ยังว่างอยู่  จึงจับจองริมหน้าต่างซะเลย


 


พร้อมกับคิดว่าแถวเกือบหลังสุดขนาดนี้  คงไม่มีใครเดินมานั่งด้วยแล้ว เลยรีบหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ขึ้นมาอ่าน  และไม่ได้สนใจอะไรอีก  จนกระทั่งได้ยินเสียงทุ้ม นุ่มหูถามว่า  ที่นั่งข้างๆ ว่างมั๊ย  พอเงยหน้าขึ้นก็พบรอยยิ้มของหนุ่มไทยตัวโต สูงล่ำมาก  ฉันยิ้มให้เขา  และพยักหน้ารับว่าว่าง   เขานั่งลงข้างๆ พร้อมเพื่อนอีกคนหนึ่ง  ซึ่งฉันไม่ได้สังเกตหน้าตาเขาสักเท่าไหร่  รู้แต่ว่าเป็นชายหนุ่มผมทองและตัวโตเหมือนกัน


 


หลังเครื่องบินทะยานสู่น่านฟ้าได้สักพัก ในขณะที่กัปตันยังไม่ได้ยกเลิกสัญญาณรัดเข็มขัดด้วยซ้ำ  ฉันก็ได้ยินเสียงบ่นแว่วๆ ฟังได้ความว่า เจ็บตา  มาจากชายหนุ่มข้างๆ  ดูจากอาการคงมีอะไรเข้าตาเขา  ฉันกำลังจะอ้าปากถาม ก็ปรากฏมือใหญ่ ยื่นมากุมมือของหนุ่มไทยคนนี้ไว้ ในขณะที่มืออีกข้างประคองแก้มไว้  พร้อมกับพยายามดูว่าอะไรเข้าตา ฉันหันไปพบกับสายตาแห่งความห่วงใยคู่นั้นเข้าอย่างจัง เขาส่งยิ้มให้  ฉันเลยยิ้มตอบ


 


รอยยิ้มระหว่างชายหนุ่มและสายตาคู่นั้นยังไม่ทันจาง  หนุ่มฝรั่งที่พยายามช่วยก็ต้องชะงัก  หนุ่มไทยเองก็พยายามผละออก


 


ฉันมองผ่านมือเขา  เลยไปถึงผู้คนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง  ซึ่งแสดงท่าทีสนใจ  และชี้ชวนกันมอง ด้วยความสนใจใคร่รู้  พร้อมพูดเสียงดัง เป็นภาษาใต้ว่า  ตัวก็ใหญ่  อยู่ก็หล่อ ยังเป็นเกย์อีก ดายของตาย  พูดเสร็จก็หัวเราะร่วน ทำให้ 3 คนที่นั่งอยู่ด้านหน้า หันมามองด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อสังเกตเห็นว่าสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่ ทำให้หนุ่มไทยพยายามบอกว่าไม่เป็นไร พร้อมกับหลับตาลง เพื่อจะให้มันดีขึ้น  


 


ส่วนหนุ่มฝรั่งตัวโตยังพยายามเรียกพนักงานต้อนรับบนเครื่อง เพื่อขอน้ำเปล่า เมื่อพนักงานต้อนรับเดินมาถึง  ยังไม่ทันเอ่ยปากถามสายตาก็ไพล่มองมาที่มือของชายหนุ่มทั้งสองซึ่งเกาะกุมอยู่  


 


สายตาที่ตั้งใจบนใบหน้าซึ่งปราศจากรอยยิ้ม  กลายเป็นหนังฉายซ้ำอีกครั้ง  เมื่อหนุ่มไทยพยายามชักมือกลับ  ส่วนหนุ่มฝรั่งที่ดูแลอยู่พยายามขืน เหมือนประมาณว่าไม่ต้องสนใจหรอก  แต่เขาก็ชักมือกลับสำเร็จ  และบอกไปว่าไม่มีอะไรแล้ว  พร้อมกับกล่าวขอบคุณที่พนักงานอุตส่าห์เดินมา 


 


เขานั่งเงียบและหลับตาลงอีกครั้ง  ไม่รู้ว่าต้องการให้อาการเจ็บมันทุเลาลง  หรืออยากอยู่อย่างนี้ไปก่อน      


 


ฉันเอง  หันกลับมานั่งเงียบๆ คนเดียวเหมือนกัน  พร้อมกับรู้สึกว่าคุณค่าความห่วงใย  หรือสิ่งที่เคยปฏิบัติต่อกันอยู่ ระหว่างผู้ชายสองคน มันถูกลดทอนลงโดยสายตาคนอื่น  ฉันไม่อยากคิดหรอกว่าทั้งสองคนจะคิดหรือรู้สึกอย่างไรกับการแสดงออกบางอย่างที่คุ้นเคย  แล้วมันต้องสะดุดลง  หรือทำไม่ได้ เพราะคนรอบข้าง


 


แต่สิ่งที่สัมผัสได้คือ มันไม่สุขแน่ๆ  พร้อมกับต้องยอมรับว่านี่คือความจริงที่ยังดำรงอยู่ 


 


แม้ทุกวันนี้สังคมบ้านเราพยายามบอกว่า  คนรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะหญิง-หญิง  หรือชาย–ชาย  ถือเป็นความอิสระของคนที่จะเลือกมีรสนิยมหรือวิถีชีวิตทางเพศของตนเอง  ซึ่งแยกออกจากความดี  ความชั่ว  ความเลว ถูก หรือผิด  หรือพยายามบอกว่าสังคมบ้านเราเปิดกับเรื่องเหล่านี้มากขึ้น  แต่ในความเป็นจริงคือ  หลายคนยังรับเรื่องนี้ไม่ได้  และเรามักเห็นการแสดงออกแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  และมันไม่เคยธรรมดา เพราะความจริงที่พบเจออยู่เป็นประจำ  คือเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเห็นชายกับชาย หรือหญิงกับหญิง  เดินคู่กันไป  ก็อดไม่ได้ที่จะมอง  วิพากษ์วิจารณ์  พร้อมกับคาดเดาความสัมพันธ์บางอย่าง  จนนำไปสู่ประเด็นคุยกันอย่างออกรสออกชาติ


 


ซึ่งฉันคิดว่าไม่ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์กันแบบไหน  จะแบบเพื่อน แบบแฟน  เป็นแค่คนรู้จักแล้วบังเอิญเจอกัน  หรือเป็นกิ๊กกัน เจอแบบนี้มันก็เสียความรู้สึก เพราะเอาเข้าจริงเราก็ไม่ได้มองมันแบบธรรมดาจริงๆ   เราจะไม่เห็นอะไรบางอย่าง หรือสัมผัสความอบอุ่นระหว่างคนสองคนได้เลย  สิ่งที่เราสัมผัสได้  เป็นเพียงพฤติกรรมที่มองเห็น แบบที่ถูกเรียกว่าประเจิดประเจ้อเท่านั้น  หากลึกไปกว่านั้นซึ่งต้องใช้ใจมอง....มันยาก


 


สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ซึ่งเหลือเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนเครื่องบินจะถึงกรุงเทพฯ คือ หนุ่มฝรั่งที่นั่งอยู่ริมทางเดิน ซึ่งรูปร่างใหญ่กว่าขยับตะแคงตัวและหันหน้ามาทางหนุ่มคนไทย และฉัน  อาจเพื่อไม่ให้  คนอีกฝั่งหนึ่งมองเห็นถนัดจะได้ไม่ต้องชี้โบ๊ชี้เบ๊อีก  หรืออาจจะอยากทำให้หนุ่มคนไทยรู้สึกปลอดภัยก็ได้  ฉันไม่พยายามคิดหาเหตุผลอีก ได้แต่หวังว่าเขาจะนั่งอย่างสบายใจไปถึงกรุงเทพฯ  ฉันหันไปมองเขาอีกครั้ง สิ่งที่พบในตอนนี้คือ มือสองมือประสานและกระชับกันแน่นขึ้น  อิงแอบไหล่ถ่ายเทความห่วงใยต่อกัน พร้อมกับหันมามองแล้วแย้มยิ้มกับฉัน....ผู้หญิง ที่เพิ่งตัดผมสั้นมากๆ จนถูกทักอยู่บ่อยๆ ว่าตัดแล้วเหมือนผู้ชายมาไม่กี่วัน


 


คำถามที่ผุดขึ้นในตอนนั้นคือ....


 


ถ้าหากฉันยังผมยาวอยู่ เขาจะทำแบบนี้ไหม?  จะหันมายิ้มกับฉันหรือเปล่า?  หรือจะชักมือกลับ เหมือนที่เขาทำอยู่ก่อนหน้านี้เท่านั้น.....


 


และถ้าหากฉันไม่ยิ้มให้เขาตั้งแต่แรก หรือมองเขาอย่างธรรมดาที่สุดอย่างที่ฉันคิด  ไม่ใช่พยายามมอง  เขาจะทำแบบที่ทำอยู่ตอนนี้ไหม?    


 


ฉัน...ไม่อยากให้เขารู้สึกปลอดภัยได้แค่มองมาทาง...ฝั่งหน้าต่างบานหนึ่งของเครื่องบินเท่านั้น