Skip to main content

‘บ้าน’ ความฝันก่อนวัยกลางคน

คอลัมน์/ชุมชน

ช่วงหนึ่งของชีวิตที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสสนทนากับผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่ง ท่านได้ให้ความคิด


แก่ผมหลายต่อหลายเรื่อง ทั้งเรื่องงาน เรื่องชีวิต เมื่อได้ทราบว่าผมกำลังจะแต่งงาน  ท่านถามว่า


คิดเรื่องบ้านหรือยัง ผมตอบว่ายัง และยังไม่ได้วางแผนเลย ท่านบอกว่า "...ผู้ชายเรา พอแต่ง


งานแล้ว เดี๋ยวมันก็ต้องคิดเรื่องบ้านกันทุกคนนั่นแหละ.."


 


ก่อนหน้าจะแต่งงานนั้น ผมเกือบจะได้บ้านเป็นมรดกจากบุพการี แต่ด้วยเหตุสุดวิสัยก็ไม่ได้เป็นดังที่คิด ก่อนหน้าจะแต่งงาน ผมยังไม่ได้วางแผนเป็นเรื่องเป็นราวนัก คิดคร่าวๆ แค่ว่า อยากไปอยู่ชนบท ทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ และเขียนหนังสือไปด้วย หลังจากแต่งงานประมาณสองเดือน ผมจึงได้เริ่มคิดเรื่องบ้านอย่างจริงจัง ซึ่งก็เป็นไปดังที่ผู้ใหญ่ท่านได้บอกไว้จริงๆ


 


เมื่อปรึกษากับญาติฝ่ายภรรยา ก็มีหลายความเห็น บ้างก็ว่าไม่ต้องไปปลูกใหม่ให้ต่อเติมบ้านเดิมเอา บ้างก็ว่าให้ปลูกแบบพออยู่ได้ และขายของไปด้วยก่อน ค่อยเก็บเงินไปปลูกหลังใหญ่เป็นเรื่องเป็นราว


 


ริมถนนในหมู่บ้าน ที่ทอดยาวไปเชื่อมกับทางที่จะออกถนนใหญ่ มีที่ดินจำนวน 1 ไร่ซึ่งเป็นของแม่ยาย ที่ตกทอดมาถึงภรรยาผม และเป็นที่ๆ ฝ่ายภรรยาบอกว่า ถ้าผมจะปลูกบ้าน ก็ควรจะเป็นที่นี่ ตอนนั้นผมมีเงินไม่มากนัก แต่ก็พอจะจ้างเขาตัดต้นไม้-ถาง-และถมที่ โชคดีที่แม่ยายมีญาติเป็นผู้รับเหมา เขายินดีเขียนแบบคร่าวๆ และคำนวณให้ว่าต้องใช้ไม้เท่าไร แม่ยายแนะนำให้เอาไม้มะพร้าวหลายสิบต้นที่โค่นลงมานั่นละครับ จ้างเขามาเลื่อย แล้วก็เก็บไว้ที่บ้านญาติข้างๆ ที่ส่วนหนึ่ง บ้านแม่ยายส่วนหนึ่ง จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของผมและภรรยา ที่ต้องไปหาเงินมาปลูกบ้าน


 


จากการประเมินคร่าวๆ บ้านในแบบที่ตั้งใจจะสร้างในตอนนั้น ราคาอยู่ในราว 3-4 แสนบาท จะว่าไม่มากก็ใช่ แต่เมื่อคิดว่าจะหาเงินจำนวนนี้มาได้อย่างไร ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จะเอาที่ไปเข้าธนาคารราคาที่เคยประเมินก็ไม่ได้มากขนาดนั้น ผมเองก็ไม่ได้มีสมบัติพัสถานหรือเครดิตเพียงพอจะไปกู้ยืมจากไหน งานที่ทำอยู่ก็ไม่ได้มีรายได้ที่แน่นอนเสียด้วย ที่แย่ที่สุดคือเราไม่มีผู้ใหญ่ที่จะให้คำปรึกษา หรือช่วยเหลือในเรื่องการเงินได้อย่างที่เราต้องการ แม่ยายผมเป็นเพียงชาวนาชาวสวน พ่อแม่ผมก็ไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว


 


ตอนนั้นเองละครับ ที่ผมได้ประจักษ์แจ้งกับความจริงที่ว่า สำหรับคนชั้นกลางค่อนไปทางต่ำอย่างผม การจะมีบ้านของตัวเองสักหลังมันยากขนาดไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณต้องคำนึงถึงความรู้สึกของคู่ชีวิตของคุณด้วย การที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเปลี่ยนสถานภาพจาก "สามี" มาเป็น "ผู้นำครอบครัว" ก็คงจะเป็นตอนนี้ คุณจะเป็นผู้นำแบบไหน และจะร่วมเดินทางกับคู่ชีวิตของคุณได้ดีแค่ไหน การสร้างครอบครัวจะให้คำตอบ และให้การเรียนรู้สิ่งสำคัญหลายประการ


 


เพราะนิยามของคำว่า "สร้างครอบครัว" ไม่ว่าของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อต้องร่วมกันสร้างแล้ว มันก็ต้องตกลงกันให้ได้ทุกรายละเอียด ถ้าตกลงกันไว้ก่อนแต่งแล้วในหลายๆ เรื่อง พอแต่งงานกันแล้ว มันก็ง่ายที่จะปรับตัว แต่ถ้ามาตกลงกันหลังแต่ง บางทีมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด อย่างที่ใครๆ เขาว่านั่นละครับ ก่อนแต่งมันก็อย่างหนึ่ง พอแต่งงานกันไปแล้วมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง


 


ความฝันของผมที่ว่า พอแต่งงานแล้ว จะไปอยู่บ้านภรรยา เขียนหนังสือ แล้วก็จะทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ  เพราะพอจะมีทุนอยู่บ้าง แต่เอาเข้าจริงแล้ว ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลย สิ่งที่ตั้งใจไว้เมื่อมาเจอกับสภาพความเป็นจริง ทุกๆ อย่างมันก็เลยเปลี่ยนไปแบบไม่คาดคิด แต่สิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนคือเป้าหมาย ผมและภรรยายังตั้งใจจะหาเงินมาปลูกบ้านกันต่อไป นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราได้ไปเปิดร้านที่สุพรรณบุรี ก่อนจะปิดร้านพร้อมกับได้บทเรียนเรื่องการลงทุน จากนั้นก็ย้ายมาอยู่ทางเหนือ ด้วยความหวังว่า คงจะมีหนทางที่ดีกว่า


 


อยู่ทางเหนือได้ไม่ถึงปี ความตั้งใจที่จะกลับไปปลูกบ้านที่เพชรบุรีก็ชักจะหวั่นไหว เพราะเราชักจะชอบที่นี่ซะแล้ว ด้วยสภาพสังคมที่สบายๆ อากาศดี ที่เที่ยวเยอะ ค่าครองชีพต่ำ ผู้คนไม่เร่งรีบและยังเอื้ออาทรต่อกันอยู่มาก ทั้งวัฒนธรรมแบบล้านนาที่เปี่ยมเสน่ห์ก็มีส่วนทำให้หลงรักที่นี่เช่นเดียวกับหลายๆ คน แต่เมื่อใครถามว่า ตกลงจะกลับไปอยู่เพชรบุรีหรือจะอยู่ที่นี่ ผมก็ได้แต่เลี่ยงไปว่า ยังไม่ได้คิด ไว้มีเงินพอปลูกบ้านเมื่อไรค่อยว่ากัน อาจจะกลับไปปลูกที่เพชรบุรี อาจจะปลูกที่นี่ หรืออาจจะปลูกมันทั้งสองที่เลยก็ได้


ผมเกิดและเติบโตในบ้านพักอาจารย์วิทยาลัยครู (สมัยนั้น) และอาศัยอยู่นานร่วมสิบกว่าปี ก่อนที่พ่อจะตัดสินใจปลูกบ้านบนที่ดินจัดสรรย่านชานเมือง และพาพวกเราย้ายมาอยู่ ทว่า ผมอยู่บ้านหลังใหม่นี้ได้เพียงสี่ปี ผมก็ต้องมาเรียนต่อในกรุงเทพฯ และมีโอกาสกลับไปเพียงแค่ช่วงปิดเทอม ผมจึงรู้สึกผูกพันกับบ้านพักอาจารย์หลังเก่าที่อยู่มานานมากกว่าบ้านหลังนี้


 


พ่อซื้อบ้านตอนอายุสี่สิบสองในราคาตอนนั้นเกือบหกแสนบาท สำหรับข้าราชการคนหนึ่ง จัดว่าไม่มากไม่น้อย เพราะอาจารย์บางคนที่ผมเคยเห็น กว่าจะได้มีบ้านของตัวเองก็อายุห้าสิบแล้ว บางคนอยู่บ้านพักข้าราชการจนเกษียณก็มี ทว่าพ่อก็ได้อยู่บ้านของตัวเองแค่ไม่ถึงปี ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ภาระผ่อนส่งทั้งหมดจึงตกหนักอยู่ที่แม่ ซึ่งผมไม่เคยรู้รายละเอียด (และแม่ไม่เคยพูดถึง) ว่าต้องส่งเดือนละเท่าไร และยังเหลืออยู่อีกเท่าไร สิบปีผ่านไป เมื่อแม่ผมเสียชีวิต ผมกับญาติๆ ช่วยกันหาที่มาที่ไป ถึงได้รู้ว่า บ้านหลังนี้ มีหนี้สินทั้งต้นทั้งดอกรวมกันเกือบล้านบาท ธนาคารสามารถเข้ามายึดได้ทุกเวลา แต่ธนาคารไม่ต้องการทิ้งไว้ให้ร้างและต้องการขายทอดตลาดให้ได้มากกว่า


 


สุดท้ายด้วยความช่วยเหลือจากญาติๆ และธนาคาร ผู้จัดการยอมลดหนี้ให้จากเก้าแสนกว่าเหลือเพียงหกแสน มีข้อแม้ว่าจะต้องชำระให้หมดในครั้งเดียว ญาติผมคนหนึ่งหาเงินมาหมุนให้ชำระหนี้ก่อน แต่ต้องรีบขายบ้านและเอาเงินมาคืนเขา ญาติผมอีกคนหนึ่งวิ่งหาคนซื้อบ้านได้ทันท่วงที หลังจากที่ดินจังหวัดประเมินราคาที่ดินแบบที่ต้อง "กล้ำกลืน" ทั้งคนซื้อคนขาย รวมทั้งชำระค่าโอนแบบเกินกว่าที่คาดไปเยอะเสร็จสิ้นแล้ว ความวุ่นวายเรื่องมรดกหนี้ของผม และการเดินทางไปกลับกรุงเทพฯ-อุบลฯ สัปดาห์ละครั้งเป็นเวลาสองปีก็สิ้นสุดลง


 


หลังจากนั้น ผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ซื้อบ้านเงินผ่อนให้เดือดร้อนตัวเองและครอบครัวอีกเป็นอันขาด ถ้าไม่ได้ซื้อบ้านเงินสด ผมขออยู่บ้านเช่าไปตลอดชีวิตดีกว่า


 


คนที่ผมรู้จักคนหนึ่ง แต่งงานและมีครอบครัวคือภรรยาและลูกสาววัยสองขวบ เขาซื้อบ้านราคาเกือบสามล้านในหมู่บ้านจัดสรรย่านบางใหญ่ บ้านสองชั้นเนื้อที่ห้าสิบตารางวาของเขา มีราคาผ่อนเดือนละหมื่นกว่ากับเวลายี่สิบกว่าปี เขาบอกผมว่า สิ่งที่เหนื่อยที่สุดไม่ใช่การทำงานแต่เป็นการหมุนเงิน


 


คนที่ผมรู้จักอีกคนหนึ่ง มีครอบครัวคือภรรยาและลูกสาวสองคนจากการแต่งงาน เขาซื้อที่บนเนินซึ่งมองเห็นทิวเขาและยอดดอยชัดเจน เขาเพิ่งจะขุดบ่อน้ำบาดาลและสร้างสุขา(ทำเอง) ตอนนี้กำลังรอให้หมดฝนเพื่อจะปลูกบ้านดินกึ่งไม้ งบประมาณที่เขาบอกคือแสนบาท


 


และคนที่ผมรู้จักอีกคนหนึ่ง เป็นหนุ่มโสด เขามีที่มรดกและซื้อเพิ่มเติมอีกหลายไร่ เพื่อจะปลูกบ้านไม้ เขาปั่นงานเขียนทุกวันราวกับเป็นโรงงานผลิตข่าวและสารคดี เขาบอกผมว่า งานเขียนชิ้นนี้เขาจะได้เสาบ้าน งานเขียนอีกชิ้นหนึ่งเขาจะได้หลังคา ส่วนเงินเดือนประจำในตำแหน่งสื่อมวลชนเขาเอาไว้ซื้อต้นไม้กับซื้ออาหารแมว


 


แล้วบ้านของผมมันควรจะเป็นแบบไหน? แน่นอนผมวาดแบบไว้ในใจแล้ว และเมื่อยังไม่มีทั้งเงินและที่ มันก็เป็นแค่วิมานในอากาศ ทว่าผมก็ได้วาดวิมานในอากาศนี้ตั้งแต่อายุก่อนสามสิบ ฉะนั้น โอกาสที่มันจะเป็นจริงมันก็น่าจะเร็วกว่า การที่ผมคิดเรื่องนี้ตอนอายุสี่สิบไม่ใช่หรือ?


 


‘รงค์ วงษ์สวรรค์ พูดไว้ใน "พูดกับบ้าน" ว่า ด้วยคำสอนของพ่อที่ว่า "ผู้ชายถึงอายุ 30 ถ้ายังไม่มีบ้านก็คงยากจะมีบ้าน" และ เพราะเขาต้องอาศัยบ้านคนอื่นอยู่มาตลอด จึงเป็นแรงผลักดันให้เขามีบ้านหลังแรกของตัวเองตั้งแต่อายุ 23  รุ่นน้องของผมคนหนึ่งชอบคำสอนจากหนังสือเล่มนี้มาก เขาตั้งใจจะมีบ้านของตัวเองตั้งแต่ยังเรียนอยู่ เมื่อเรียนจบเขากลับไปอยู่ต่างจังหวัด ผ่านมาหลายปี แม้เขาจะยังไม่มีบ้านของตัวเอง แต่ตอนนี้เขามีกิจการของตัวเอง 2-3 อย่างที่หมุนเงินได้เดือนละหลายหมื่น และผมคิดว่า อีกไม่นานเขาคงจะได้ปลูกบ้านของตัวเองอย่างที่หวัง


 


ช่วงที่ผมยังทำงานในกรุงเทพฯ เพื่อนสนิทคนหนึ่งชักชวนแกมขอร้องให้ผมตั้งรกรากอยู่ที่กรุงเทพฯ เสีย เพราะเพื่อนฝูงที่สนิทๆ กัน มันย้ายออกไปอยู่ต่างจังหวัดกันหมดแล้ว อีกทั้งงานด้านที่ผมทำอยู่ มันก็สนับสนุนให้อยู่กรุงเทพฯ เหมาะสมกว่าอยู่ที่อื่น ผมเองในขณะนั้น ก็มีความคิดอย่างที่เพื่อนว่าเหมือนกัน เพราะมีโครงการของที่ทำงานที่จะให้ผ่อนแฟลตราคาถูก ทว่า เมื่อผมออกจากงานเดิม ความคิดนี้ก็ต้องล้มเลิกไป ทั้งผมก็เริ่มเบื่อเมืองกรุงเสียแล้ว ยิ่งเห็นการเติบโตของค่าครองชีพและราคาที่อยู่อาศัยแล้ว ก็ได้แต่ส่ายหน้า บอกเพื่อนไปว่า ขอลาไปอยู่บ้านนอกดีกว่าเพื่อนเอ๋ย มีเงินหนึ่งล้าน อาจจะซื้อแฟลตหรือคอนโดเล็กๆ ในกรุงเทพฯ ได้ แต่สำหรับต่างจังหวัดแล้ว มันมากพอจะได้บ้านหนึ่งหลังกับรถยนต์อีกหนึ่งคัน


 


เรื่อง "บ้าน" เป็นเรื่องที่พูดยากสำหรับคนที่ยังไม่เคยคิด หรือยังไม่มีโครงการว่าจะปลูก แต่ถ้าลงได้คิดแล้ว ผมคิดว่านี่เป็นความฝันที่เจิดจ้าที่สุดสำหรับชีวิตคนๆ หนึ่งทีเดียว ไม่ว่าจะมีครอบครัวแล้วหรือไม่มีก็ตาม เมื่อคุณคิดจะมีบ้าน คิดจะมีชีวิตอยู่ในสถานที่หนึ่งไปจนวันตาย ชีวิตคุณก็จะมุ่งไปสู่หนทางที่จะได้จะมีมันเท่านั้น


 


หลายคนยังไม่คิดเรื่องนี้ เพราะเขายังสนุกกับชีวิตและอาจยังมองหาคน "ร่วมสร้าง" อยู่ บางคนไม่เคยคิดเลย เพราะมีบ้านที่เป็นมรดกตกทอดอยู่แล้ว บางคนไม่ต้องคิด เพราะมีทรัพย์รอสนองอยู่แล้ว แต่สำหรับบางคนที่เป็นคนไร้รากเช่าเขาอยู่มานานหลายปี การมีบ้านของตัวเองสักหลัง มีที่ดินของตัวเองสักผืนคือทั้งหมดที่ชีวิตต้องการ


 


เมื่อปรารถนาไขว่คว้าจะมีบ้าน ผมก็เข้าใจในที่สุดว่า ทำไมคนที่ได้มีบ้านของตัวเองหลังจากทุ่มเทกับชีวิตและงานมาหลายปี ถึงได้มีความสุขนัก ยิ่งได้มาอย่างยากลำบาก "บ้าน" ก็ยิ่งมีคุณค่า