Skip to main content

ไปโรงเรียน ไม่ไป ไปทีไรก็ไปสาย

 


-1-


 


เขาจงใจที่จะไปโรงเรียนสายเพราะเขาเบื่อที่จะต้องเข้าแถวร้องเพลงชาติ ซึ่งเขาไม่เคยนึกภาพออกว่ารูปร่างหน้าตาของชาตินั้นเป็นยังไง เขาระอากับการสวดมนต์ไหว้พระซึ่งไม่ได้ทำให้เขาเข้าใกล้พระศาสนาขึ้นมาสักเท่าไหร่เลย เขาเหนื่อยหน่ายที่จะยืนฟังคำให้โอวาทของอาจารย์อยู่นานสองนานซึ่งที่สุดแล้วก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งจะยืนคุมอยู่ที่แถวมักจะหาเรื่องตำหนิเขาต่อหน้าเพื่อนนักเรียนอยู่เสมอ    


 


ช่วงเวลาที่เข้าแถวทำกิจกรรมต่าง ๆ ในตอนเช้าก่อนเข้าห้องเรียน เป็นช่วงเวลาที่เขารังเกียจมากที่สุดก็ว่าได้ ทั้งรู้สึกเหนื่อยหน่าย ทั้งหวาดกลัวผสมปนเปกันไป  มีสายตามากมายที่ไม่เป็นมิตรคอยจับจ้องเขาอยู่  สายตาเหล่านั้นมองเขาตั้งแต่หัวจดเท้า มองเข้าไปถึงความรู้สึกนึกคิดเพื่อหาทางจับผิด และนำความผิดที่จับได้นั้นมาประจานเพื่อให้เขาได้อายและหลาบจำ


 


บางครั้งเขาจะถูกเรียกให้ออกไปยืนหน้าเสาธงพร้อมกับเพื่อนนักเรียนที่ทำผิดคนอื่น ๆ แล้วต่อจากนั้นจึงตามมาด้วยมาตรการการลงโทษที่บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ช่วยกันคิดค้นขึ้นมา


 


ตัวเขามีอะไรมากมายที่ผิดระเบียบ ผิดกฎเกณฑ์ เรื่องนี้เขารู้ดี ผมของเขายาวเกินมาตรฐานของโรงเรียนไปครึ่งเซนติเมตร อีกทั้งเขายังไว้จอนเป็นริ้วยาวลงมาถึงปลายหูซึ่งผิดระเบียบอย่างชัดแจ้ง อาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่าเสื้อนักเรียนของเขาถ้าไม่คับก็หลวมเกินไป ไม่เคยพอดีเลย เหมือนกับเอาเสื้อพี่หรือไม่ก็เสื้อน้องมาใส่ ขาของกางเกงนักเรียนก็สั้นเกินไป ระเบียบเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายกำหนดไว้ว่าขาของกางเกงนักเรียนต้องยาวมาเกือบถึงหัวเข่าแต่ของเขาสั้นแค่ขาอ่อน รองเท้านักเรียนของเขานั้นเล่าก็มีแนวโน้มที่จะผิดแปลกแตกต่างไปจากรองเท้าของคนอื่นอยู่เสมอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะเขาตั้งใจจะตกแต่งมันไม่ให้เหมือนคนอื่นนั่นเอง


 


อาจารย์บอกกับเขาว่า "การที่เธอแต่งกายผิดระเบียบ มันเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่าความคิดของเธอนั้นก็ผิดระเบียบด้วยเช่นกัน อาจารย์จึงจำเป็นต้องจัดการกับความคิดเสียก่อนเป็นอันดับแรก ไม่อย่างนั้นแล้วเธอคงจะเป็นอย่างนี้ไปตลอด"


 


ดังนั้นเป้าหมายของอาจารย์ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป้าหมายของสถาบันการศึกษาโดยทั่วไปคือการจัดการกับความคิดที่ออกนอกลู่นอกทางของนักเรียนเป็นอันดับแรก


             


แต่ยิ่งเขาถูกบีบจากกฎระเบียบที่ผู้ใหญ่สร้างขึ้นมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตอบโต้มันกลับไปมากเท่านั้น


 


เขามีวิธีตอบโต้ของเขาเองซึ่งหลากหลายและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง และเรียนรู้ที่จะพัฒนาวิธีตอบโต้ของเขาให้แหลมคมยิ่ง ๆ ขึ้น เขารู้จักนิ่ง อดทน เจ้าเล่ห์ การปกป้องตนเองทำให้เขาได้รู้อะไรมากมาย เขารู้จักการเป็นคนเกเรเมื่อจำเป็นต้องเล่นบทเด็กเกเร   รู้จักเลือกคบเพื่อนเพราะเพื่อนเป็นที่พึ่งซึ่งจะช่วยเขาได้มาก 


 


ตอนที่เพื่อนนักเรียนในโรงเรียนกำลังสวดมนต์ไหว้พระ เขาหลบอยู่ในร้านขายของชำแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก นั่งรอจนกระทั่งพิธีกรรมเข้าแถวตอนเช้าจบลง มันเป็นพิธีกรรมที่แสนว่างเปล่า การท่องบ่นถ้อยคำด้วยภาษาบาลีซึ่งเขาและคนอื่น ๆ และอาจรวมไปถึงอาจารย์ก็ไม่รู้เรื่องว่าแปลว่าอะไร มันไม่ต่างอะไรไปจากนกแก้วนกขุนทองซึ่งถูกสอนให้พูดภาษามนุษย์โดยที่ไม่รู้ว่าความหมายของคำนั้น ๆ คืออะไร


 


หลักธรรมคำสอน และความเชื่อถือศรัทธาในศาสนาเป็นเรื่องลึกลับเหลวไหลไกลตัวเสียเหลือเกินสำหรับวัยเยาว์ที่เข้าใจยากของเขา


 


เขาต้องการอย่างอื่นมากกว่า, ต้องการเงินเพื่อไปเที่ยวเล่นตามประสาเด็กหนุ่ม ต้องการเล่นกีฬา, ต้องการประสบการณ์ของสิ่งที่เรียกขานกันว่า "ความรัก" ซึ่งก็ย่อมรวมถึงประสบการณ์ทางเพศด้วย


 


นักเรียนหญิงที่เขาสนิทสนมและหลับนอนด้วยสอนเขาให้รู้จักอะไรต่าง ๆ ได้มากกว่าจากอาจารย์ในห้องเรียนหรือจากตำราอันแห้งแล้ง


เขาแว่วยินเสียงผู้อำนวยการให้โอวาทแก่นักเรียนขณะนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าโรงเรียน เขารู้ว่าพอท่านผู้อำนวยการให้โอวาทเสร็จก็จะปล่อยให้นักเรียนเข้าห้องเรียนได้ ถึงเวลานั้นเขาก็จะปีนกำแพงโรงเรียนเข้าไป         เขาไม่อยากฟังคำให้โอวาทของผู้อำนวยการ  ผู้อำนวยการมีเมียหลายคนซึ่งก็หมายความว่ามีลูกหลายคนด้วยและลูกแต่ละคนของผู้อำนวยการก็ไม่ได้ดูดีกว่าเขาเท่าไหร่นัก ผู้อำนวยการรับเงินใต้โต๊ะมากเสียจนน่าเกลียดซึ่งใคร ๆ ต่างก็รู้ในเรื่องนี้ดี ผู้อำนวยการมักจะมีนโยบายใหม่ ๆ และประหลาด ๆ มาใช้เพื่อสร้างความแปลกใจให้คนอื่นอยู่เสมอ


 


เสียงของผู้อำนวยการเงียบหายไปแล้ว  อาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งรับหน้าที่เป็นพิธีกรกำลังเรียกเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นนักเรียนที่เรียนดี และทำกิจกรรมให้ออกมายืนหน้าเสาธงเพื่อรับมอบเกียรติบัตรจากผู้อำนวยการและเพื่อให้นักเรียนคนอื่น ๆ ได้ร่วมแสดงความยินดีชื่นชมและดูไว้เป็นแบบอย่าง


 


 "มีนักเรียนที่น่าชื่นชม ก็ย่อมมีนักเรียนที่ไม่น่าชื่นชม" เขาคิด


พิธีกรรมหน้าเสาธงเสร็จสิ้นลงแล้ว นักเรียนทยอยเดินไปเป็นแถวเข้าห้องเรียน เริ่มจากนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 1 ก่อนแล้วก็ตามมาด้วยชั้นปีที่ 2 แล้วก็ชั้นมัธยมปีที่ 3 ซึ่งเป็นชั้นปีที่เขาเรียนอย 


 


เขารอจนนักเรียนเข้าห้องกันหมดแล้ว  จึงปีนกำแพงรั้วโรงเรียนอย่างง่ายดายเพราะมันไม่สูงมากนักและไม่น่าจะมีใครเห็นเพราะมีกิ่งใบของต้นไม้ใหญ่คอยบังอยู่ เขาปีนกำแพงตรงจุดนี้เป็นประจำ บางครั้งเพื่อนนักเรียนที่มาสายคนอื่นก็ปีนกำแพงเข้าไปตรงจุดนี้เหมือนกัน


 


เขาไม่อยากเข้าทางประตูปกติซึ่งมียามเฝ้าอยู่ หากเขาเข้าทางประตูนั้น เขาจะต้องถูกจดชื่อแล้วชื่อของเขาก็จะถูกส่งไปยังอาจารย์ฝ่ายปกครองแล้วอาจารย์ฝ่ายปกครองก็จะเรียกเขาไปดุ และกระหน่ำตีราวกับว่าโกรธแค้นกันมาเป็นปี ๆ  หรือถ้าไม่พอใจที่จะตีอย่างเดียว อาจารย์ฝ่ายปกครองก็จะเรียกผู้ปกครองของเขามาพบซึ่งนั่นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่


 


เขามองซ้ายมองขวา แล้วข้ามรั้วโรงเรียนเข้ามา ช่างสะดวกง่ายดาย  ป่านนี้เพื่อน ๆ คงกำลังเตรียมตัวที่จะเรียนกัน แต่บางคนอาจแวบไปสูบบุหรี่ในห้องน้ำก่อนเข้าเรียน บางคนกำลังลอกการบ้านอย่างขมีขมัน ผู้หญิงบางคนอาจกำลังเสริมสวยแต่งหน้าทาปากในห้องน้ำที่ไหนสักแห่ง ส่วนเขา,นักเรียนที่มาสายจนขึ้นชื่อลือเลื่อง กำลังจะเข้าไปสมทบเป็นส่วนหนึ่งของห้องเรียนที่นำนักเรียนร้อยพ่อพันแม่มาเจอกัน


 


ทุกครั้งที่ปีนรั้วโรงเรียนเข้ามา เขาไม่เคยถูกจับได้เลยเพราะไม่มียามหรืออาจารย์คนไหนว่างมากพอที่จะมายืนรอจับนักศึกษาที่มาสายและปีนรั้วเข้ามา


 


แต่ครั้งนี้ต่างออกไปอย่างเหลือเชื่อ! มีทั้งยามและอาจารย์ฝ่ายปกครองยืนรอเขาอยู่ หลังจากเขาปีนเข้ามา แล้วเดินต่อไปประมาณ 10 ก้าว อาจารย์และยามก็ออกมาจากที่ซุ่มซ่อนและขวางหน้าเขาเอาไว้ราวกับตำรวจเมื่อมองเห็นโจร !   เขาตกใจจนหนังสือร่วงจากมือ เหงื่อแตกพลั่ก รู้สึกชาที่ใบหน้า สายตาของอาจารย์ฝ่ายปกครองย้ำบอกให้เขารู้สึกว่าตนเองทำผิดอย่างฉกรรจ์ ขาของเขาคล้ายหมดแรงที่จะรับน้ำหนักเอาไว้ได้ เขาเห็นอาจารย์ฝ่ายปกครองเดินตรงเข้ามาหา...