โอ้ เจ้าหนี้ กับ 14 อีกครั้ง
คอลัมน์/ชุมชน
เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอน 14 เธอรู้ไหมเหมือน 14 อีกครั้ง
เพลงนี้ชื่อ 14 อีกครั้ง
ฉันฟังเพลงนี้ ครั้งแรกจากเสียงเพลงของเพื่อนบ้าน ฟังแล้วคิดถึงเพื่อน รุ่นพี่คนหนึ่งที่เธอแต่งงาน ในช่วงวัย 47 ในวันแต่งงานนั้นเธอสดใสเหมือนวัยแรกรุ่น เธอตามสามีไปอยู่ลอนดอน ชีวิตเธองดงามต่อมาเรื่อย ๆ แม้ว่าตอนนี้เธอจะผ่านช่วงวัย 50 มาแล้ว
นั่นเป็นเรื่องของเพื่อน
ส่วนเรื่องของฉันในยามเช้านี้ ฉันคิดถึงบทเพลงนี้ขึ้นมา ไม่ใช่เพราะไปพบหนุ่มน่ารักที่ไหน ในช่วงวัย 44 ที่จะทำให้ฉันรู้สึกเหมือน 14 แต่ฉันคิดถึงบทเพลงนี้และท่องขึ้นมาในใจว่า
เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอน14 เธอรู้ไหมเหมือน 14 อีกครั้ง คือ นั่นคือเหนื่อย เศร้า เบื่อ เซ็ง
เรื่องมันเกิดขึ้นในช่วงใกล้ค่ำวันหนึ่ง ที่ฉันได้รับโทรศัพท์จากสำนักพิมพ์ เสียงของคนหนุ่ม บอกว่าสำนักพิมพ์ไม่สามารถพิมพ์หนังสือของคุณได้เพราะว่าบรรณาธิการสำนักพิมพ์ซึ่งออกไปแล้ว ได้หอบงานไปด้วย และส่ง SMS มาบอกว่า นักเขียนถอนเรื่องแล้วถ้าเราพิมพ์เขาจะฟ้อง
โอ้ พระเจ้า ฝันสลาย เพราะฉันคิดว่าหนังสือเสร็จไปแล้ว และกำลังวางขายอยู่ในงานมหกรรมหนังสือที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ที่กรุงเทพฯ เพราะบรรณาธิการแจ้งมาว่าหนังสือจะเสร็จทันขายในช่วงนี้
เจ้าของสำนักพิมพ์ใหม่แต่เป็นโรงพิมพ์เก่าที่ได้ยินชื่อมาตั้งแต่ฉันเริ่มเป็นนักข่าวฝึกหัด แน่นอนต้องมีประสบการณ์การพิมพ์มานาน ทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ ฉันจึงถามเขาไปว่า คุณเป็นเจ้าของโรงพิมพ์หรือเปล่าคะ เขาตอบว่าผมเป็นลูกชายครับ
เขาสรุปอย่างสุภาพว่า แล้วแต่พี่จะตัดสินใจแล้วกันนะครับว่าจะทำอย่างไร ผมเพิ่งได้เบอร์โทร.พี่มา
หลังจากวางหูไปไม่นาน เขาก็โทร.กลับมาใหม่ว่า เขาเสนอว่า อยากพิมพ์งานของฉันให้ฉันตัดสินใจมาเลยว่ายินดีให้เขาพิมพ์ เขาจะดำเนินการต่อ เพราะหากถึงเดือนพฤศจิกายนแล้ว จะมีปัญหาเรื่องการขาย หลังเดือนนี้คนจะหยุดเดินร้านหนังสือกันช่วงหนึ่ง
นักเขียนจะรักและศรัทธาบรรณาธิการ มีความเชื่อในบรรณาธิการ โดยเฉพาะนักเขียนเก่า (ฉันเชื่อเช่นนั้นและโดยเฉพาะคนเขียนหนังสืออย่างเป็นอาชีพ)
ฉันบอกเขาว่า โดยมารยาทฉันขอคุยกับบรรณาธิการก่อน เพราะฉันติดต่อกับเขาคนเดียว และยังคุยกันเป็นระยะ ๆ เขาไม่เคยบอกเลยว่ามีปัญหาเช่นนี้ เขายังโทร.มาคุยเรื่องภาพประกอบ เรื่องขอรูปขอประวัติ และหลังสุดยังยืนยันว่าเสร็จทันงานมหกรรมหนังสือแน่นอน
ฉันมีผู้ร่วมชะตากรรม 5 คนตามที่เขาบอกนามมา ฉันรู้จักอยู่ 3 คน มี 1 คนที่ได้ยินแต่ชื่อรู้ว่าเขาเขียนเกี่ยวกับธรรมะ
แน่นอนว่าฉันอยากพิมพ์งานเป็นที่สุด บอกให้เพื่อนคนเดิมที่มาจากลอนดอนไปดูหนังสือของฉันในงานมหากรรมหนังสือแล้วด้วย เพื่อนบอกว่าเธอจะซื้อไปเป็นของขวัญให้เพื่อน ๆ ต่างแดนที่อยู่ที่ลอนดอน เพราะเรื่องที่ฉันเขียนเป็นเรื่องบันทึกการเดินทางที่ทะเล ชื่อเรื่องดินแดนแห่งความทรงจำ ใคร ๆ ก็ต้องมีดินแดนแห่งความทรงจำ เธอจึงคิดว่าเรื่องนี้เหมาะสมที่จะเป็นของขวัญของฝาก
หลานสาวที่น่ารักและรักการอ่านอีกสองคน ทุกครั้งที่มีงานมหกรรมหนังสือฯ หรือสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เธอจะไปดูหนังสือทุกสำนักพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือของฉันและโทร.มาบอกว่า มีสำนักพิมพ์ไหนวางขายและลดราคาเท่าไหร่ ครั้งนี้ฉันบอกหลานไปว่า มีสำนักพิมพ์ใหม่พิมพ์หนังสือของน้าอีกเล่ม
กลับมาที่บรรณาธิการ เขาให้เหตุผลกับฉันว่า เขาค้นพบความไม่เป็นธรรมของสำนักพิมพ์ คือแจ้งยอดพิมพ์จริงกับแจ้งยอดนักเขียนไม่ตรงกัน (ซึ่งนับว่าเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงมาก) เขาก็เลยคิดว่าเขาจะทำสัญญาใหม่กับสำนักพิมพ์ให้รัดกุม
ฉันใช้ความพยายามอยู่สามวันเพื่อจัดการเรื่องนี้ด้วยวัตถุประสงค์เดียวคือให้หนังสือได้พิมพ์ ฉันถามไปยังน้องนักเขียนที่เป็นหนึ่งใน 5 เธอบอกว่า ก่อนหน้านี้บรรณาธิการแจ้งมาว่า จะไม่ส่งพิมพ์เพราะโรงพิมพ์จะให้ค่าลิขสิทธิ์แค่ 7 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ตอนแรกตกลงไว้ 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเหตุผลนี้บรรณาธิการไม่ได้บอกฉัน
เรื่องราวระหว่างบรรณาธิการกับเจ้าของสำนักพิมพ์ยืดเยื้อมาก บรรณาธิการบอกฉันว่าเขาดำเนินการเรื่องสัญญากับสำนักพิมพ์เพื่อผลประโยชน์ให้นักเขียน และหากว่าไม่ได้ เขาขอเวลาสักระยะจะหาสำนักพิมพ์ใหม่
เพื่อให้กระจ่างกว่านี้ ฉันติดต่อไปยังรุ่นพี่ที่พิมพ์งานก่อนหน้านี้และวางขายมาครึ่งปีแล้ว คำตอบก็คือไม่มีปัญหาทั้งค่าลิขสิทธิ์ก็เป็นไปตามที่ตกลง จ่ายก็ไม่ช้า หนังสือก็สวยงามถูกใจ สอบถามไปยังสำนักพิมพ์เขาก็ว่าขายได้
เขาแสดงความเสียใจที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับฉัน และบอกว่าถ้าฉันศึกษาธรรมะ ฉันจะรับมือกับความไม่แน่นอนได้ง่าย นี่แหละความจริง
อีกทั้งให้กำลังใจว่า ก็ยังดีนะที่งานยังเป็นที่ต้องการ สำนักพิมพ์ก็ต้องการพิมพ์ บรรณาธิการก็ยังเก็บงานของเราไปเพื่อจะเอาไปพิมพ์กับที่อื่น ดีกว่าส่งงานไปที่ไหนก็ไม่มีใครอยากพิมพ์ ---มองในด้านดี
ฉันถามไปยังสำนักพิมพ์เขาบอกว่า เขาไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ เลยจากบรรณาธิการ แล้วเรื่องสัญญาอะไรก็ไม่มี
หลังสุดก่อนจะผ่านเดือนตุลาคมไป ฉันบอกบรรณาธิการว่า เอาเถอะ อย่างไรก็ตามแต่เมื่องานพร้อมจะพิมพ์ได้แล้วมันก็ควรได้พิมพ์ ขอให้เข้าไปประนีประนอมกับเจ้าของสำนักพิมพ์และส่งงานให้สำนักพิมพ์ถือว่าเป็นการช่วยกัน ส่วนเรื่องค่าลิขสิทธิ์ หรือยอดพิมพ์ ฉันจะตัดสินใจเอง คือฉันจะทำสัญญากับสำนักพิมพ์เอง
"พูดตรงๆ ก็คือว่า พี่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินจากการพิมพ์หนังสือเล่มนี้ เจ้าหนี้ของพี่รออยู่" เขารับปากว่า ครับ ครับ อย่างสุภาพ
น่าสงสารดินแดนแห่งความทรงจำของฉัน จะกลายเป็นดินแดนแห่งการหลงลืมไปแล้ว ส่วนหนังสือของนักเขียนอีกคนหนึ่ง ชื่อว่าบางฉากของความรัก ชื่อเหมาะสมกับการอยู่ในสงครามจริง ๆ และงานของเราทั้งสองก็ตกเป็นตัวประกัน
ผ่านไปหนึ่งวัน ฉันโทร.เข้าไปถามว่าดำเนินการไปถึงไหนแล้ว เขาบอกว่าเขาไม่สามารถติดต่อพูดคุยกับสำนักพิมพ์ได้ ให้ฉันคุยกับสำนักพิมพ์เอง
ฉันโทรไป.ทางสำนักพิมพ์อีกครั้ง เขาบอกฉันว่า เขาไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ เลย และเขาก็พิมพ์ไม่ได้เพราะไม่มีอาร์ตเวิร์คอยู่ในมือ ต้องให้บรรณาธิการส่งมาให้ หรือไม่ก็ต้องรอเริ่มต้นกันใหม่ แต่อย่างไรก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด
ฉันจึงโทร.กลับไปหาบรรณาธิการอีกครั้งด้วยความอดทนยิ่ง เขาบอกว่าอยู่ที่เจ้าของสำนักพิมพ์นั่นแหละ และตัดบทว่า เอาเถอะ จะส่งไปให้อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ก็ได้
ฉันบอกเจ้าของสำนักพิมพ์ว่า รออีกครั้งในวันพรุ่งนี้แล้วกัน ถ้าได้อาร์ตเวิร์คมา คุณพร้อมพิมพ์นะ หากจบในวันพรุ่งนี้ฉันก็จะถือว่าแล้วจบแล้ว ฉันพยายามถึงที่สุดแล้ว และงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติปีนี้ก็กำลังจะจบลง ซึ่งเมื่อผ่านงานนี้ไปกว่าจะได้เริ่มใหม่ก็ผ่านไปอีกหลายเดือน หรือไม่ก็ไปถึงมีนาคม งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติอีกครั้ง สำหรับนักเขียนที่เขียนงานขายไม่ดีต้องอาศัยเทศกาลในการพิมพ์แต่ละครั้งด้วย
เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอน 14 อีกครั้ง เพราะเรื่องราวเช่นนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับคนเขียนหนังสืออาชีพอย่างฉันในช่วงวัยสี่สิบกว่า
ตอนนี้ฉันต้องเปลี่ยนเพลงแล้ว ต้องร้องเพลงของติ๊ก ชีโร แทน ..
ชื่อเพลงเจ้าหนี้
สวัสดีครับ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย
โอ เจ้าหนี้ พอทีไม่ต้องมาแหย่ ตอนนี้กำลังแย่
ไม่ได้หนี ไม่ได้หาย แต่มันไม่มี