Skip to main content

สิ่งที่ไม่ดีที่สุดของมนุษย์


 


เวลาอยู่เพียงลำพังคนเดียวเงียบ ๆ


นอกจากผมจะชอบนอนอ่านหนังสือเป็นกอง ๆ จนติดเป็นนิสัย บ่อยครั้ง- ผมยังชอบนอนคิดทบทวนถึงความผิดพลาดต่าง ๆ ในชีวิตของตัวเองที่ผ่านมา ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ  ไปจนถึงเรื่องราวที่ใหญ่โต แล้วผมมักจะพบว่า สาเหตุของความผิดพลาดต่าง ๆ ในชีวิตของผม ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากความรีบร้อน ไม่ว่าจะเป็นความรีบร้อนที่เกิดจากความจำเป็นบีบบังคับ เพราะสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งกำหนดให้มีอันเป็นไป เพราะความประมาท เพราะความเมา เพราะความเคยชินจนติดเป็นนิสัย ฯลฯ หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้ชีวิตต้องรีบร้อน มักล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดความผิดพลาดต่าง ๆ ในชีวิตได้ง่าย


           


เมื่อ 4-5 ปีก่อน


ตอนผมเช่าบ้านอยู่ที่บ้านหนองงู ต.แม่คือ อ.ดอยสะเก็ด  ซึ่งเป็นหมู่บ้านกลางทุ่งนาละแวกบริเวณ เขตรอยต่อระหว่างอำเภอดอยสะเก็ดกับอำเภอสันกำแพง  ดึกคืนหนึ่ง ผมขับรถมอเตอร์ไซด์กลับจากทำงานเล่นดนตรีที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมถนน 700 ปี หน้าศาลากลาง จังหวัดเชียงใหม่


 


ระหว่างทาง ผมแวะไปนั่งดื่มเหล้าตองข้างถนน (เหล้าขายที่ละก๊งสองก๊ง ทางเหนือเรียกว่าเหล้าตอง) ที่เคาน์เตอร์ร้านเจ๊เฟื่องฟ้า ที่บ้านสันโค้ง อำเภอสันกำแพง ตรงหัวมุมปากซอยข้างถนนติดกันร้านถ่ายรูป ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของคนเลิกงานกลางคืนจากในเมืองยามดึก หลังจากดื่มพอหอมปากหอมคอ คุยกับคนโน้นคนนี้พอชื่นมื่น ผมก็ควักเงินจ่ายเจ้าของร้าน เดินจ้ำอ้าวออกมาสวมหมวกกันน็อคสตาร์ทเครื่องรถ และขับออกมาด้วยความรีบร้อนที่จะกลับบ้าน…จนลืมปลดขาตั้งรถ


 


พอถึงสี่แยกบ่อสร้าง ผมชะลอความเร็วของรถลงนิดหนึ่งก่อนจะเอียงตัวตีวงเลี้ยวซ้ายแบบหักข้อศอก เพื่อมุ่งหน้าไปบ้านเช่าตามถนนดอยสะเก็ดสายเก่า ขาตั้งรถที่ผมลืมปลดก็พลันสะดุดกึกเข้ากับพื้นถนนบวกกับแรงดันของรถ ทำให้เกิดแรงผลักกลับมาอย่างรุนแรงในทันทีทันใด เหวี่ยงทั้งคนและรถล้มฟาดลงดังโครม ราวกับถูกกระโดดถีบด้วยตีนยักษ์ ผมหลุดจากรถล้มลง เอาหัวฟาดกับขอบบาทวิถีจนหมวกกันน็อคบุบบู้ และหลุดออกไปจากหัว ส่วนรถกระเด็นไปล้มอยู่กลางถนน


 


จนป่านนี้… ผมยังไม่นึกไม่ออกเลยว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นครั้งนี้ ถ้าหากผมรีบร้อนจนลืมใส่หมวกกันน็อค… เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง แล้วถนนที่ผมกับรถถูกเหวี่ยงล้มลง บังเอิญมีรถคันอื่น ๆ วิ่งผ่านไปมาในระยะกระชั้นชิด นอกจากอาการอักเสบกล้ามเนื้อตรงบริเวณหัวไหล่ … ที่ต้องใช้เวลารักษานานถึงสามเดือนเต็ม ๆ ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตของผม จะมีอันเป็นไปหนักหนาสาหัสเพียงใด !


           


จริง ๆ นะ


ไม่ว่าจะเป็นตัวผมหรือใคร ๆ ถ้าหากชีวิตเราต้องตกอยู่ในภาวะที่ต้องทำอะไรด้วยความรีบร้อน ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใด เรื่องใด ไม่วันใดวันหนึ่ง ชีวิตคุณจะต้องเกิดความผิดพลาดกับอะไรสักอย่าง… อย่างแน่นอน  เมื่อเกิดพลาดขึ้นมาแล้ว ก็อย่าได้แปลกใจไปเลย ว่าทำไมถึงต้องเป็นเรา เพราะแม้แต่เรื่องที่สำคัญบางเรื่องที่เราค่อย ๆ ลงมือทำด้วยความสุขุมรอบคอบ คอยระมัดระวัง…ตรวจสอบดูแล้วดูอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า บ่อยครั้ง...ก็ยังมีข้อผิดพลาดหลงหูหลงตา โผล่ออกมาเห็นในเวลาที่สายเกินแก้ นับประสาอะไรกับการทำอะไรด้วยความรีบร้อน จะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นมา


 


ถึงแม้เราอาจจะเคยได้ยินคำพูดที่ผู้คนมักจะพูดปลอบใจ คนที่กำลังเศร้าโศกเสียใจ เพราะความผิดพลาดในชีวิตว่า


"อย่าคิดอะไรให้มากไปเลย ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ไม่มีใครในโลกนี้หรอกที่ไม่เคยทำความผิดพลาดมาก่อน ไม่เป็นไรลืมเสียเถิด เรื่องที่แล้วก็แล้วไป มาเริ่มต้นกันใหม่ดีกว่า"


 


แต่คำพูดดี ๆ เหล่านี้ น่าจะมิใช่คำพูดที่มีไว้ให้คนที่ทำความผิดพลาดเพราะความรีบร้อนแน่ ๆ  ผมเชื่อว่าคำพูดเหล่านี้ เขามีไว้ให้ปรกติคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตอย่างมีสติระมัดระวังในการกระทำและเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ แต่ก็ยังเกิดความผิดพลาดขึ้นมามากกว่า เขาจึงถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนความผิดพลาดที่เกิดจากความรีบร้อน ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา  เพราะความรีบร้อนเป็นเรื่องที่ผิดปรกติ…จนถึงขนาดท่านผู้นำศาสนานิกายหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น ที่เข้ามาเผยแพร่ในบ้านเมืองของเราอย่างกว้างขวาง ได้กล่าวออกมาเป็นคำสอนตักเตือนเอาไว้ว่า


 


 "สิ่งที่ไม่ดีที่สุดของมนุษย์คือความรีบร้อน เพราะเมื่อเกิดความรีบร้อนก็จะเป็นการกระทำที่ฝืนธรรมชาติ ดังนั้นมนุษย์ควรพึงระวังสำหรับเรื่องนี้"


 


  ส่วนในทางวรรณกรรม อันตัน เชคอฟ นักเขียนรัสเซียที่ผมชอบมาก ๆ พอ ๆ กับ ตอล สตอย ได้พูดถึงเรื่องนี้ เพื่อเตือนสติคนเขียนหนังสืออย่างผมเอาไว้ว่า


 "ศิลปะแห่งการเขียนคือศิลปะแห่งการขัดเกลา"


 (THE ART OF WRITING IS THE ART OF DELETING)


และ


"นักเขียนต้องเขียนและเขียนต่อไป, แต่จักต้องไม่รีบร้อน"


 (A WRITER MUST WRITE AND WRITER , BUT MUST NEVER HURRY)


           


ครับ


เรื่องของความรีบร้อนก็มีอยู่เพียงแค่นี้ อ่าน ๆ ดูแล้ว ค่อนข้างจริงจังไปหน่อยครับ แต่ไม่เป็นไร ผมจะเล่าเรื่องที่น่ารักมาก ๆ เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็น เรื่องตรงกันข้ามกับเรื่องความรีบร้อนให้ฟังสักนิดหนึ่ง เพื่อเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดจากการอ่านเรื่องนี้


 


นั่นคือ – เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ไปเช่าหนังวีดีโอของอังกฤษเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นหนังเก่าย้อนยุคมาดู มีอยู่ฉากหนึ่งในหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้คนทำงานศิลปะงานเขียนเล็ก ๆ อย่างผมได้ดูแล้วเกิดความรู้สึกปลื้มปิติ เหมือนอย่างว่ากำลังบรรลุธรรมอันวิเศษ…อะไรสักอย่างหนึ่งอย่างฉับพลัน นั่นคือฉากที่พระราชินีผู้เลอโฉม ทรงเสด็จไปทอดพระเนตรการบูรณะซ่อมแซม พระราชวังของพระนางที่กำลังทรุดโทรม และทรงตรัสกับวิศวกรที่กำลังควบคุมช่างฝีมือและคนงานที่กำลังทำงานอย่างแข็งขันว่า


 


"อา ! ดีแล้ว ดีแล้ว งานที่ค่อย ๆ ทำด้วยความประณีตอดทนอย่างนี้แหละ จะเป็นงานที่มีความงามและคงอยู่กับกาลเวลาตราบนานเท่านาน"


 


ครับ-ถึงแม้จะเป็นฉากสั้น ๆ ที่มีบทพูดเพียงแค่ประโยคเดียว และถูกตัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นฉากสั้น ๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าความหมาย ติดตรึง…อยู่ในใจผมมาจนทุกวันนี้.