Skip to main content

นางอาย

คอลัมน์/ชุมชน

หมู่บ้านที่เธออยู่ เคยเป็นบ้านป่าบ้านดง เดิมทีแสงไฟมีเพียงแสงตะเกียง


น้ำมันก๊าดกับไฟฟืน   บัดนี้เปลี่ยนไป   แสงไฟฟ้าสว่างจ้า  กลับนำความตายให้แก่พวกมัน


ไม่ใช่แมลงหวี่ ผีเสื้อดงอะไรเทือกนั่นแน่  แมลงเม่าบินเข้ากองไฟก็ไม่ใช่ แต่มันโตกว่านั้น มันช่างน่ารักน่ากอด น่าเอ็นดู  น่าครอบครองกว่านั้น มันจึงถูกจัดไว้ในประเภทสัตว์คุ้มครอง  เพราะความที่มันช่างเหนียมอาย ขลาดกลัว เคลื่อนไหวอุ๊ยอ้ายในยามแสงแดดจัดจ้า  ทว่า ตกกลางคืน   เจ้าตัวน่ารักกลับเคลื่อนไหวว่องไวปานวิญญาณผีป่าเข้าสิง


 


นางอาย หรือลิงลม 


 



 


วันนั้น…เธอได้เจอกับเขา


คนหนุ่มวัยสามสิบ  เคยมีทุกสิ่งทุกอย่าง เช่นที่คนอื่นพึงมี และบางอย่างเขามีมากกว่าคนทั่วไป นั่นคือหน้าตาที่หล่อเหลา สมองอันเฉียบคม และพลังความใฝ่ฝันที่กว้างไกล 


 


สิ่งที่มีมากกว่าใครๆ คือชื่อเสียงในวงการมายา


แดดบ่าย สาดแสงเข้ามาในศาลาริมทาง มันเกาะนิ่งอยู่บนพนักม้ายาว ซุกหน้าแนบอกคล้ายพยายามหลบแดด อายุอานามดูสาวหนุ่มเต็มที่  เธอก้มเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นบาดแผลที่ขาหลังถลอกจนเกือบถึงกระดูก


 


นั่นไง..เกิดขึ้นอีกแล้ว กี่ร้อยตัวมาแล้ว?


 


ยี่สิบปีก่อน... ลิงลมตัวแรก  หล่นลงมาจากสายไฟฟ้า  เธอเห็นจะๆกับตา  อย่างกับตกจากท้องฟ้า  มันยังไม่ตาย  แค่สลบไป ตามตัวมีรอยแผลไฟฟ้าช๊อตเกือบถึงกระดูก


 


เธอจับเอามาใส่ยาแล้วครอบสุ่มไว้เฉยๆ ไม่ให้หมาแมวมารบกวน


หันหลังไปทำอย่างอื่นไม่ถึงชั่วโมง  กลับมาดูอีกทีมันหายไปแล้ว  คนในบ้านได้แต่ถอนใจ


หากเธอนับตัวที่พบเห็นเอง  ทั้งที่ตายสนิทคาสายไฟฟ้า ที่หล่นลงมาตาย และที่อาการปางตาย น่าจะเกินสิบตัว นี่ขนาดหน้าบ้านเธอนะ หากนับรวมบ้านคนอื่นทั้งตำบล มันจะสักเท่าไหร่กันหนอ


 


เขามาพบเธอ ในวันที่ม่านไฟเศรษฐกิจกำลังลุกโหม เผาผลาญครอบครัวและเงินทองของเขาไปจนหมดสิ้น


 


ภูเขาหน้าบ้าน ยอดแหลมเปี๊ยบสูงตระหง่าน เคยสมบูรณ์ไปด้วยพรรณไม้ธรรมชาติ บัดนี้พื้นที่ป่าถูกถากถางเปลี่ยนไปเป็นป่ายางพารา สิงสาราสัตว์ย่อมอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลง อย่าว่าแต่สัตว์ที่มีสัญชาตญาณป่าที่สงบสงัดนั้นเลย คนเฒ่าคนชราก็แทบจะทนทานกับการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไหนจะทั้งเสียง ทั้งแสง ทั้งกลิ่น แถมทัศนียภาพที่ไม่พึงประสงค์  แต่ต้องทนอีกต่างหาก เรียกว่าต้องทนทรมานครอบทุกอายตนะนั่นเทียว


 


ที่นั่นคือที่มาของพวกมัน


 


ตลาดเล็กๆข้างบ้าน คือสาเหตุแห่งการไล่ล่าหาความตายของเหล่าลิงลม เพราะที่นี่เป็นสี่แยก แต่เป็นสี่แยกแบบตัวเค  ขาตัวเคโค้งโก่งออกมาข้างนอก ชวนให้รถแล่นเร็วทั้งหลายแหกโค้ง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องติดตั้งไฟตัดหมอก ในยามกลางคืน เพราะย่านนี้หมอกห่มคลุมพื้นหนา อาบกระจกรถยนต์จนฝ้าฟาง


 


แสงไฟสีส้มเหมือนมนตราสะกดเรียกให้พวกมันลงมาตาย


 


แรงยวนใจของผลประโยชน์  ทำให้เขาทุ่มเทลงทุนเกินตัว  ไฟหนี้สินไหม้ลามจนเขาแทบปางตาย วันที่เธอเจอเขา ลมหายใจเฮือกเกือบสุดท้ายถูกผ่อนยาวด้วยคำปลอบโยน


 


เธอถอดเสื้อคลุมกันลมออก  ค่อยๆ ย่องไปตะปบแล้วม้วนเสื้อหุ้มมันไว้ ดึงมือที่แข็งแรงทรงพลังกว่าที่คาดออกจากไม้ที่มันยึด  ต้องออกแรงเพิ่มจึงจะหลุด 


 


ทันใดนั้น...ฉึก!!! เธอรู้สึกได้ถึงความแหลมคมที่ปักลงมาปลายนิ้วชี้ เจ็บจี๊ดจนอยากจะโยนทิ้ง


"คุณคงอยากมีชีวิตต่อไป จึงมาได้มาหาพี่" เธอเอ่ย ทักทาย


"ครับ ช่วยผมด้วย" คำร้องขอที่ฟังดูไร้พยศ กลับซ่อนพิษสงเอาไว้ล้ำลึก เพราะเขาต้องการเพียงแค่ใครสักคนไว้ระบายอารมณ์สับสน หาได้ต้องการก้าวล่วงปัญหาอย่างแท้จริงไม่   


เธอรู้  แต่แสร้งว่าไม่รู้


 


เมื่อถึงบ้าน เธอจัดการทำกรงแบบง่ายๆ ด้วยลวดตาข่าย เอาผ้าพลาสติคเย็บคลุมเป็นหลังคา แล้วเอามันใส่ลงไป หาที่แขวนเหมาะๆใต้ต้นไม้ใหญ่  ไม่มีเด็ก ไม่มีคนมารบกวน หายเป็นปกติเมื่อไหร่จะปล่อยออกไปตามทางของมัน


"คุณลองสูดลมหายใจเข้าให้ลึกๆสิ ลึกที่สุดนะ แล้วกลั้นเอาไว้ อย่าปล่อยออกมา" เธอเริ่มเยียวยาเขา


 


ปัญญาใหญ่ตามมา เพราะบาดแผลที่เห็นไม่ใช่แค่ขาหลัง แต่เป็นแผลฉกรรจ์ทั้งตัว ทั้งสีข้าง ขาหน้า ที่สำคัญนิ้วมือข้างซ้ายหลุดหายไปหมดเหลือแต่ฝ่ามือ ส่วนมือขวาหายไปตั้งแต่นิ้วกลางถึงนิ้วก้อย


 


มันยังพยศ...ซุกเงียบขดตัวนิ่งในง่ามไม้ที่พาดไว้ในกรง  เธอเอากล้วยชิ้นเล็กๆเสียบไม้ไปจ่อเอาไว้ใกล้มือ แล้วจากไป กลับมาดูอีกทีทุกอย่างยังเหมือนเดิม จึงทดลองแหย่เข้าไปใกล้ปาก มันผงกหัวขึ้นมาแทะบ้าง  กลัวๆกล้าๆ อาการเชื่องช้าจนน่าเวทนา


 


"ความทะนงตัวของคุณมากมายเหลือเกิน เป็นธรรมดาของคนที่เชื่อว่าตนเองฉลาดกว่าคนอื่น" อย่างแรก เธอต้องจัดการคือความเชื่อมั่นเดิม ที่กำลังขบกัดเขาอยู่


 


"คุณต้องยอมรับให้ได้ว่าคุณเองก็อ่อนแอเป็น ร้องไห้ได้ ล้มเหลวได้ เหมือนคนอื่น" ท่าทีเขาลังเลสับสน แต่ต่อมาค่อยผ่อนคลาย และระบายสิ่งที่หมักหมมอยู่ในใจออกมา


 


วันต่อๆ มา มันเริ่มคุ้นเคยกับวิธีป้อนอาหารแบบนี้ กินกล้วยได้มากขึ้น และให้ความร่วมมือมากขึ้นยามใช้ไม้ที่หุ้มสำลีชุบยาแดงทาแผลตามเนื้อตัวให้  แผลเริ่มแห้ง โดยเฉพาะที่ขาเริ่มดูไม่น่ากลัวนัก  แต่ที่มือกลับเลวร้ายลง....


 


เนื้อนิ้วมือซ้ายหายไปหมด ฝ่ามือที่เหลือเริ่มหลุดไปทีละน้อย แผลดูเหวอะหวะรุ่งริ่งมองเห็นกระดูก  เนื้อนิ้วมือด้านขวาก็เช่นกัน


 


หากเป็นคน  พูดได้ว่าบาดเจ็บสาหัส และคงคร่ำครวญด้วยฤทธิ์เวทนาของตน แต่นี่คือลิงลม ขนาดไหนหรือจึงจะทำให้มันตายได้  เธอไม่รู้...


 


เขาเริ่มเผยความจริงในชีวิต ด้านที่เป็นมุมมืดออกมาให้เธอรู้ ไม่ใช่แค่เพียงคำบอกเล่า แต่เธอได้เห็นได้รู้ด้วยตัวเอง ชีวิตที่เดินทางผิดก่อความเดือนร้อนให้กับคนอื่นอย่างแสนสาหัส  สิ่งนั้นจึงย้อนมาสู่ตน


 


ที่สุด...สิ่งที่เขาต้องการคือ คำให้อภัย


 


มือกุดของมัน  เกิดจากการกัดของมันเอง  แต่การหายไปจากกรงในคืนฝนตกหนัก  ขณะหลังคาพลาสติคขาดพังลงมา เพราะต้านแรงน้ำที่ขังอยู่ไม่ไหว  มันคิดอะไรหรือ  เพราะไม่อาจทนฝน หรือว่าเธอทำผิดที่เฝ้ารักษามัน


 


ในที่สุด เขาบอกกับเธอว่า เขาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสังคม กับทุกคน แม้แต่คนที่เขาเคยทำร้าย ด้วยความทะเยอทะยาน


 


สิบวันที่อยู่ด้วยกัน แผลที่ลำตัวเริ่มแห้งจนดูดี มันยอมให้ลอดมือเข้าไปลูบหัวเบาๆ และอ้าปากยอมรับกล้วยในมือ โดยไม่มีท่าที่หวาดผวาหรือขบกัด เธอแอบหวังในใจว่า หากมันยอมรับการดูแลในฐานะลิงพิการ คงจะดีไม่น้อย


 


แต่เมื่อมันหายไปไม่เหลือร่องรอย แสดงว่ามันไปไกลแล้ว


ลิงน้อยเอ๋ย....เจ้าคิดอะไรอยู่


สองมือไร้ฝ่ามือ  เจ้ามีวิธีปีนป่าย ขุดคุ้ยหามดแมลงใต้เปลือกไม้กินได้อย่างไร


 


สองปีที่เขาฝึกฝนละทิ้งตัวตน เปลี่ยนแปลงด้านในของตัวเอง


วันนี้...  เธอเห็นชื่อของเขาในฐานะผู้สร้างงานละคร น้ำเสียงที่ส่งผ่านสายมาถึงเธอดูมาดมั่น "ผมจะต้องกลับไปยืนบนเวทีนั้นให้ได้อีกครั้ง"