Skip to main content

บุคคลที่หาได้ยากยิ่งในโลก


 



 


ผู้ชายคนนี้


ถ้าหากเขาเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมซื้อมาอ่าน เขาก็คือหนังสือที่ผมอ่านจบเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ต้องการจะเก็บเอาไว้ในบ้าน และไม่คิดจะหยิบยื่นให้ใครเอาไปอ่านต่อ และถึงแม้จะมีคนมาอ้อนวอนซื้อในราคาเดิมที่ผมซื้อมา ผมก็จะไม่ขาย เพราะผมต้องการให้หนังสือเล่มนี้ มีผมเป็นคนอ่านเป็นคนแรกและคนสุดท้าย


 


จริง ๆ นะ ระหว่างผมกับเขา วันใดวันหนึ่ง ถ้าหากคุณบังเอิญพบผมกับเขากำลังนั่งสนทนากัน ไม่ว่าที่นี่หรือที่ไหน ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งนั่นย่อมหมายความว่า  เป็นเพราะผมบังเอิญพบเขา แล้วไม่สามารถหลบหลีกเขาได้ทัน หรือไม่ก็เป็นเพราะว่าเขาปรากฏตัวมาหาผมโดยไม่ส่งสัญญาณใด ๆ มาบอกให้รู้ล่วงหน้า เพียงสองประการนี้เท่านั้น


                       


เมื่อวานนี้


เขาขับรถมาหาผมถึงกระท่อม ที่ผมเพิ่งมาปลูกอยู่ในบริเวณบ้านสวนของพ่อแม่ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผม ขณะผมกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขกหน้ากระท่อมที่เปิดโล่ง กับภรรยาและหลานสาวอายุ 4 ขวบ ลูกของน้องสาวคนเล็ก และหมาตัวเล็ก ๆ 3 ตัว ที่กำลังเล่นเคล้าเคลียแข้งขาอยู่ตามใต้โต๊ะ เขาก็ขับรถเข้ามาในบริเวณบ้าน มาจอดที่หน้ากระท่อม ทีแรกที่เห็นสีและยี่ห้อรถ ผมยังนึกไม่ออกว่าเป็นใคร  แต่พอเขาเปิดประตูรถโผล่หน้าออกมาให้ผมเห็น ผมก็รู้สึกเหมือนถูกผีหลอกกลางวันแสก ๆ ก่อนจะรวบรวมสติตั้งมั่น เตรียมตัวเตรียมใจให้สงบนิ่ง…เพื่อรับมือกับเขา และรีบบอกกับตัวเองในใจว่า ช่างเป็นโชคดีของกูเสียจริง ๆ หนอ…


 


หลังจากทักทายกัน หาที่นั่งและน้ำเย็นให้เขาดื่มตามมารยาทเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยออกตัวกับผมว่า จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจมาหาผมหรอก แต่ตั้งใจจะไปหาเพื่อนคนหนึ่ง แต่ไปหาแล้วไม่พบ บังเอิญขับรถผ่านมาทางนี้ นึกถึงผมซึ่งไม่ได้พบกันมานานหลายปีแล้วขึ้นมาได้ จึงขับรถสุ่มเสี่ยงเข้ามา เพราะได้ข่าวว่าผมย้ายออกจากชานเมืองกลับมาอยู่บ้านแล้ว ก่อนจะชวนผมดื่มเบียร์


 


ผมบอกเขาไปตามความจริงด้วยความเกรงใจว่า ผมยังดื่มอะไรที่เป็นเครื่องดองของเมายังไม่ได้ เพราะผมเพิ่งหายป่วยจากโรคท้องร่วงไม่หยุด เนื่องจากลำไส้ใหญ่อักเสบเพราะติดเชื้อ จนน้ำหนักลดฮวบฮาบไปถึง 5 กิโล ยาที่หมอให้มาก็ยังกินไม่ครบกำหนดวันที่หมอสั่ง แต่ถ้าเขาจะนั่งดื่มก็ไม่เป็นไร ผมยินดีที่จะนั่งสนทนากับเขาโดยไม่ต้องดื่มอะไรก็ได้


 


เขาขับรถออกไปซื้อเบียร์มา 3 ขวด


พอกลับมานั่งเปิดเบียร์ดื่ม เขาก็เปิดฉากสนทนากับผม ด้วยการพูดคุยท้าวความหลังถึงคนโน้นคนนี้ ทั้งชายและหญิงประมาณสัก 10 กว่าคน ซึ่งแต่ละคนผมก็รู้จักพอ ๆ กับเขา ปรากฏว่าเขายังเหมือนเดิม นั่นคือ – เขายังคงมีนิสัยชอบพูดถึงคนอื่นลับหลังในแง่ร้าย ทั้งๆ ที่ 10 กว่าคนที่ไม่ได้นั่งอยู่ที่นี่ แต่ละคนต่างก็มีข้อดีมากมายหลายอย่าง แต่เขาไม่ยอมหยิบยกข้อดีของใคร มาพูดให้ผมฟังแม้แต่คนเดียว


 


แม้แต่น้องผู้หญิงที่แสนดีคนหนึ่ง ซึ่งมีนิสัยชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือเพื่อนฝูงและญาติมิตร ที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี และเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป เขาก็ยังสามารถขุดแคะเอาเรื่องที่น่าอับอายของเธอมาเล่าให้ฟัง จนผมนึกสงสารที่เธอพลัดหลงเข้าไปรู้จักกับเขา-ได้อย่างไรก็ไม่รู้


 


แล้วได้แต่นึกปลงตกและไม่นึกแปลกใจเลยว่า เมื่อเขาออกไปจากที่นี่แล้ว เขาจะพูดถึงผมลับหลังให้คนอื่นฟังในแง่ร้าย ทำให้ผมเสื่อมเสียชื่อเสียง (ที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว) เหมือนอย่างที่เขาเคยทำและมีผู้หวังดีมาบอกผมให้ระวังตัว เพราะผมเป็นคนที่มีข้อบกพร่องในชีวิตค่อนข้างมาก และมองเห็นได้อย่างชัดเจนมากกว่าข้อดี ตั้งแต่อาชีพที่ไม่มั่นคง สถานภาพทางสังคมที่ไม่ค่อยมีคนเชื่อถือ ค่อนข้างยากจน และมีหนี้สิน ฯลฯ หรือแม้กระทั่งที่อยู่อาศัย ถึงแม้จะปลูกสร้างขึ้นใหม่แถมยังไม่เสร็จ แต่จะพอซุกหัวนอนอยู่ได้ ถ้าหากมองตามมาตรฐานสังคม มองดูยังไงก็ยังแลดูกระจอกงอกง่อยสิ้นดี…


           


ใช่, ผมไม่นึกแปลกใจ


ถ้าหากผมจะถูกเขาทำร้ายทางสังคมลับหลังอีกต่อไป เหมือนอย่างที่เขากำลังทำกับคนอื่นให้ผมดู เพราะผมรู้จักตัวตนของเขามานานแล้ว เขาคลับคล้ายคลับคลาเหมือนคนป่วยทางจิตเรื้อรัง ที่ชอบมองหาข้อบกพร่องและจุดอ่อนแอของมนุษย์คนอื่น แล้วนำมาพูดเหยียบย้ำซ้ำเติม เพื่อให้ตัวเองดูดีและโดดเด่นขึ้น


 


ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก โดยเฉพาะกับคนดี ๆ ที่ยังไม่รู้จักและเข้าใจความเลวร้ายของชีวิต เพราะคนแบบนี้มักจะเป็นคนที่เฉลียวฉลาด มีการศึกษาดีมีสติปัญญาสูง แต่ระดับจิตใจของเขากลับตกต่ำลงไปอยู่ระหว่างกึ่งกลางคนปรกติธรรมดากับคนป่วยทางจิต และยังสามารถเอาตัวรอดในสังคมได้อย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว ยิ่งกว่าปกติคนธรรมดามากมายหลายเท่า


 


เพราะเขาสามารถทำอะไรได้มากมายหลายอย่าง ที่ปกติคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ไม่สามารถจะทำได้ เขาจึงเป็นคนที่น่ากลัว ยิ่งกว่าคนป่วยจนเป็นบ้าให้เราเห็นอย่างชัดเจน เพราะดูเป็นคนดี ๆ แต่กลับพร้อมที่จะลุกขึ้นมาทำร้ายใครเมื่อไหร่ก็ได้…


 


ผมจึงบล็อคขอบเขตชีวิตของตัวเอง กันไม่ให้เขาเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของผมอย่างแน่นหนา ดังที่กล่าวไว้ในเบื้องต้น


 


หลังจากพูดถึงคนอื่นลับหลังให้เขาเสียหายพอแล้ว


เขาก็คะยั้นคะยอให้ผมดื่มเบียร์ โดยอ้างว่าเจ็บป่วยแค่นี้ไม่ถึงตายหรอกน่า นานทีปีหนที่คนอย่างเขาอุตสาห์มาเยี่ยม อย่างไร ๆ ก็ควรจะดื่มเพื่อเขาสักหน่อย พอคะยั้นคะยอผมแล้ว เขาก็ทำท่าเหมือนอย่างว่า ถ้าผมไม่ดื่มเบียร์กับเขา จะเป็นเรื่องที่น่าเสียใจและเป็นความผิดพลาดอย่างยิ่งในชีวิตของผม ผมเพิ่งกินยาก่อนหน้าที่เขาจะเข้ามาไม่ถึงห้านาที จึงต้องจำใจดื่มเบียร์กับเขา และได้แต่นึกภาวนากับลำไส้ใหญ่ของตัวเองว่า แค่เบียร์คงไม่เป็นอะไรหรอกน่า !


           


จากนั้นเขาก็ตั้งข้อเสนอกับผมว่า


เขาจะเล่าเรื่องตลกให้ผมฟัง เพราะเขามีเรื่องตลกอยู่มากมายหลายเรื่อง แต่มีข้อแม้อยู่ว่า


ผมจะต้องเล่าเรื่องตลกของผมให้เขาฟังบ้าง เป็นการแลกเปลี่ยนกัน ผมบอกเขาไปตามจริงว่า ชีวิตผมมีแต่เรื่องเศร้าที่น่าเบื่อ…ไม่มีเรื่องตลกอะไรจะเล่าให้ใครฟังหรอก แต่ถ้าเขาอยากจะเล่าให้ผมฟังโดยไม่จำเป็นต้องมีข้อแลกเปลี่ยน ผมก็ยินดีจะรับฟัง 


 


แล้วเขาก็เริ่มเล่าเรื่องตลกให้ผมฟัง


เพียงแค่เล่าเรื่องแรกยังไม่ทันถึงครึ่งเรื่อง      


ภรรยาของผมก็รีบพาหลานสาว


และหมาตัวเล็ก ๆ ทั้ง 3 ตัวออกจากชายคากระท่อม


หลบหนีไปที่บ้านแม่ของเด็กที่อยู่ถัดไป


 


เพราะเรื่องตลกของเขา เป็นตลกทางเพศที่หยาบโลน อย่างที่พวกฝรั่งเขาเรียกกันว่า DIRTY JOKE (ตลกโสมม) ที่พวกมีปัญหาคับข้องใจทางเพศมักชอบเล่าให้กันฟัง เพื่อระบายความอัดอั้นของตัวเอง เช่นเรื่อง "พรวิเศษที่พระเจ้ามอบให้แก่ค้างคาวผีดูดเลือด" เขาก็เล่าให้ผมฟังว่า


 


 "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระเจ้าเกิดใจดีมีเมตตา อยากจะมอบพรวิเศษให้กับค้างคาวผีดูดเลือดตัวหนึ่ง ที่ชอบดูดเลือดของมนุษย์และสัตว์กินเป็นอาหาร แต่ต้องทำมาหากินด้วยความยากลำบาก เพราะเลือดมนุษย์และสัตว์เป็นสิ่งที่เสาะหาได้ยากขึ้นทุกวัน เพราะมนุษย์และสัตว์ในโลกทุกวันนี้ ต่างเฉลียวฉลาดในการเอาตัวรอดจากการตกเป็นเหยื่อของมัน ซึ่งเป็นค้างคาวผีหลงยุค คืนพระจันทร์เต็มดวงคืนหนึ่ง พระเจ้าจึงมีคำสั่งให้ค้างคาวผีดูดเลือดตัวนั้น บินขึ้นไปพบพระองค์ที่ทรงประทับอยู่บนสรวงสวรรค์และทรงตรัสกับมันว่า จะให้พรวิเศษกับมัน ซึ่งเมื่อได้รับพรวิเศษนี้แล้ว  เมื่อมันตั้งจิตอธิษฐานขออะไร มันก็จะได้สิ่งที่มันขอถึง 3 ประการในทันทีทันใด แต่มีเงื่อนไขสำคัญอยู่ว่า อธิษฐานขอได้เพียงครั้งเดียว พรนี้ก็จะเสื่อมอำนาจลง ไม่สามารถอธิษฐานขออะไรได้อีก มันจึงรีบน้อมกายลงรับด้วยความตื่นเต้นยินดี


 


หลังจากได้รับพรวิเศษจากพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว มันก็รีบบินจากสวรรค์ลงมาสู่โลกมนุษย์ ไปห้อยหัวเกาะอยู่ใต้ชายคาคฤหาสน์ร้างแห่งหนึ่ง ด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น ก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานขอสิ่งที่มันต้องการ 3 ประการ ตามเงื่อนไขที่พระเจ้าจะดลบันดาลให้ ด้วยอำนาจพรวิเศษที่ให้มา


 


เขาเล่ามาถึงตรงนี้แล้วหยุดถามผมว่า ค้างคาวผีดูดเลือดอธิษฐานขออะไร  หรือถ้าผมเป็นค้างคาวผี ผมจะขออะไร ผมพยายามตอบเขาอย่างเซ็ง ๆ เพราะไม่นึกสนุกกับเขา ตอบอย่างไร ๆ ก็ไม่ถูก เขาจึงยิ้มย่องนัยน์ตาเป็นประกาย ค่อย ๆ เฉลยคำตอบอย่างมีชั้นเชิงให้ผมฟังว่า


 


เนื่องจากค้างคาวผีดูดเลือด มีผิวเป็นสีดำ


มันจึงอยากมีผิวเป็นสีขาวสะอาดสดใส


และชอบดูดเลือดมนุษย์และสัตว์ที่เสาะหาได้ยากขึ้นทุกวัน


มันจึงอยากมีเลือดไว้ดูดกินทุกวัน


โดยไม่ต้องบินออกไปเสาะหา


ด้วยความยากลำบากเหมือนแต่ก่อน


 


และประการที่สำคัญที่สุด มันเป็นค้างคาวผีที่ใฝ่ฝันอยากจะอยู่ใกล้ชิดกับจิ๋มของมนุษย์ผู้หญิง ที่มันยังไม่เคยพบปะเลยสักครั้งในชีวิต มานานแสนนานแล้ว มันจึงอยากจะไปอยู่ใกล้ ๆ ณ สถานที่อันเร้นลับของมนุษย์ผู้หญิงคนใดก็ได้…


 


ดังนั้น-มันจึงตั้งจิตอธิษฐานขอให้อำนาจพรวิเศษที่มันได้มา จงดลบันดาลให้มันกลับกลายเป็นอะไรก็ได้ที่มีผิวเป็นสีขาว มีเลือดดื่มทุกวัน และได้อยู่ใกล้กับจิ๋มของมนุษย์ผู้หญิง ทันทีที่จบคำอธิษฐาน ค้างคาวผีดูดเลือดตัวนั้น ก็กลับกลายร่างเป็นผ้าอนามัยซับประจำเดือนของผู้หญิงยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่งในพริบตา สมดังคำขอทั้ง 3 ประการ เพราะได้ทั้งสีผิว เลือด และจิ๋มในคราวเดียวกัน…"


 


เขาพยายามเล่าเรื่องตลก


ที่ไปลงเอยเอาที่เรื่องเพศทำนองนี้ทุกเรื่องให้ผมฟัง ซึ่งผมก็ต้องอดทนฟังด้วยความพะอืดพะอมอีก 2-3 เรื่อง แล้วเขาก็หยุดย้ำถามผมว่า


"คุณไม่มีเรื่องเด็ด ๆ แบบนี้ เล่าให้ผมฟังสักเรื่องจริง ๆ หรือ "


 


ให้ตายเถอะ ! ถึงแม้ผมซึ่งเป็นนักอ่านหนังสือตัวฉกาจ จะเคยทั้งอ่านและฟังเรื่องเล่าตลกโสมมแบบนี้ ทั้งจากหนังสือและจากการเล่าของใครต่อใครมาหลายคน แต่ผมกลับไม่มีพรสวรรค์ในการจดจำเรื่องแบบนี้เอาไว้ในหัวสมองเอาเสียเลย ผมจึงได้แต่ทำหน้าเซ่อ ๆ ตอบเขาไปตามความจริงว่า


"ไม่มีจริง ๆ ครับ"


 


เขายิ้มอย่างผู้ชนะและพูดกับผมว่า


"งั้น คุณก็สู้ผมไม่ได้"


 


ผมยิ้มอย่างสมเพชทั้งตัวเขาและตัวผม ก่อนที่จะยอมรับกับเขาว่า


"ใช่ ผมสู้คุณไม่ได้หรอก"


 


และเบี่ยงบ่ายบอกกับเขาว่า ผมมีเพื่อนรุ่นน้องอยู่สองคนที่เก่งในการเล่าเรื่องแบบนี้ ถ้าเจอกันน่าจะแข่งกับเขาได้ เขาถามผมว่าเป็นใคร พอผมระบุชื่อ เขาก็ร้องลั่นออกมาว่า


"อ๋อ ไอ้สองคนนี่ผมรู้จักดี พวกนี้ยังอยู่ในระดับหางแถว ยังห่างไกลจากผมเยอะ"


 


และหลังจากดื่มเบียร์หมด 3 ขวด พร้อมกับเล่าเรื่องตลกโสมมตบท้ายให้ผมฟังอีก 2 เรื่องเขาก็บอกลาผมด้วยท่าทางภาคภูมิใจในตัวเอง และมองดูผมอย่างเซ็ง ๆ ที่ไม่มีเรื่องเด็ด ๆ แบบนี้เล่าให้เขาฟัง แม้แต่ประโยคเดียว


 


ทันทีที่เขาขับรถ


พ้นออกไปจากประตูรั้วบ้าน พอภรรยาของผมจูงมือหลานสาวและพาหมาตัวเล็ก ๆ 3 ตัวกลับมา ผมก็รีบบอกกับเธอว่า เราต้องถือว่าเราเป็นคนโชคดีมาก ๆ ที่ได้พบปะคนพันธุ์พิเศษที่หาได้ยากยิ่งอย่างเขา ในเมื่อเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงหลบหนีเขาได้ จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับเขา เราต้องพลิกเอาด้านที่เลวร้ายของเขาคว่ำลง และกลับมามองดูด้านดีจากความเลวร้ายของเขา เหมือนพลิกเหรียญที่มีสองด้านกลับมาดูด้านตรงกันข้าม แล้วทำใจให้ปลงตกคิดเสียว่า ในรอบ 100 ปี สวรรค์จึงจะส่งคนแบบนี้มาเกิดในโลกสักคนหนึ่ง


 


หาไม่เช่นนั้น คนแบบนี้จะทำให้เราเจ็บปวดและอับอาย ทำให้เรากลายเป็นคนเกลียดขี้หน้ามนุษย์ ที่เราไม่มีสิทธิ์จะไปสั่งสอนตักเตือน หรือเปลี่ยนแปลงใครได้โดยใช่เหตุ และควรถือเป็นบุญตาวาสนาส่งเป็นอย่างยิ่ง ที่นั่งอยู่เฉย ๆ โดยไม่ต้องออกไปค้นหา เขาก็ปรากฏตัวมาให้เห็นถึงในบ้าน


 


เพราะคนร้ายสุด ๆ ถึงขนาดนี้เท่านั้นแหละ ที่จะทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าความดีของคนที่ทำดีกับเราอย่างลึกซึ้ง และทำให้เราหันกลับไปมองคนแย่ ๆ รอบ ๆ ตัวเรามากมายหลายคน ที่เคยทำให้ชีวิตเราแทบล้มประดาตาย  กลับกลายเป็นคนที่น่ารักและดูดีไปหมด เพราะเมื่อนำไปเทียบกับความร้ายกาจของเขาแล้ว มันเทียบกันไม่ติดแม้แต่ขี้เล็บ !


 


จริงๆนะ ผมคิดและรู้สึกของผมอย่างนี้จริง ๆ ทุกครั้งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหลบหนีการพบปะ บุคคลที่หายากยิ่งในโลกอย่างเขา ผู้ชายคนนี้  ผู้ชายที่ผมอ่านความเป็นคนของเขาจบมานานแล้ว เหมือนอ่านหนังสือเลว ๆ เล่มหนึ่งจบลงแล้ว


 


ต้องรีบจุดไฟเผาทิ้งไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก