คิม - หญิงรักหญิงจากแผ่นดินใหญ่
คอลัมน์/ชุมชน
ความเป็นคอมมิวนิสต์และวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่บนจีนแผ่นดินใหญ่น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราไม่ค่อยได้ข่าวคราวของหญิงรักหญิงแดนมังกรมากนัก ดังนั้น เมื่อมีสาวจีนมาร่วมงานเสวนาเปิดปิดคิดอย่างไร เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม หญิงรักหญิงไทยจึงสนใจอยากรู้ความเป็นไปของหญิงรักหญิงแผ่นดินใหญ่ คิม สาวจีนที่โกนผมสั้นเหมือนพระภิกษุณี จึงเข้ามานั่งกลางวงตอบข้อสงสัยของพวกเรา หลังจากวันนั้นฉันขอสัมภาษณ์คิมอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ได้เรื่องราวอันน่าสนใจของเธอเพิ่มเติม สำหรับคอลัมน์นี้
คิมเล่าว่าตัวเธอนั้นเกิดในเมืองเซี่ยงไฮ้ เมื่อ 36 ปีก่อน แม้บ้านของเธอจะเป็นเมืองท่าที่มีการติดต่อกับโลกภายนอก แต่ตั้งแต่เล็กจนโตเป็นวัยรุ่นเธอไม่มีโอกาสรับรู้เรื่องราวของชาวสายรุ้งแต่อย่างใด เธอก็เหมือนกับชาวจีนทั่วไปที่ได้รับข่าวสารที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วจากรัฐบาล จนเมื่ออายุ 16 ปีนั่นแหละที่เธอรู้จักคำว่า "เกย์" เป็นครั้งแรกจากข่าวหนังสือพิมพ์เรื่องการแต่งงานของเกย์ในเดนมาร์ก ซึ่งนำเสนอออกมาในแนวตลกแปลก ๆ จากแดนไกล ตอนนั้นเธอเองยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกใจด้วยซ้ำที่คนเพศเดียวกันแต่งงานกันได้
โลกของเธอกว้างขึ้นอีกนิดเมื่อเธอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 18 ปี แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ปราบปรามนักศึกษาที่เรียกร้องประชาธิปไตยที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลต่อความรู้สึกและความคิดของคิมมาก เธอรู้สึกหมดหวังและไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะเรียนต่อไปอีกแล้ว เพราะระบบการศึกษานั้นไม่สนับสนุนให้นักศึกษามีความคิดเป็นของตัวเอง ต้องเชื่อแต่หนังสือเท่านั้น และหนังสือแต่ละเล่มก็เก่าเสียเหลือเกิน
คิมตัดสินใจเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเอง ด้วยการพักการเรียนและออกเดินทางรอบเมืองจีนโดยการโบกรถ ซึ่งการเดินทางเช่นนี้สำหรับผู้หญิงจีนในสมัยนั้นและแม้ในสมัยนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่น้อยคนนักจะทำ คิมมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่งและพ่อแม่ให้มาอีกนิดหน่อย รวม ๆ กันแล้วก็ไม่เกิน 1,200 บาท เธอออกเดินทางรอบประเทศด้วยเงินจำนวนน้อยนิดนี้ ซึ่งคิมบอกว่าเวลานั้นยังสามารถทำได้ เพราะเมืองจีนเพิ่งจะเริ่มการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ความเป็นคอมมิวนิสต์ยังแข็งแกร่งอยู่มาก เวลาเธอไปอยู่ในหมู่บ้าน ชาวบ้านก็จะให้การต้อนรับเธอมาอยู่ด้วยและให้อาหารโดยไม่เรียกร้องเงินแต่อย่างใด เธอเดินทางไปทั่วทุกที่ บางทีเงินหมดก็ใช้แรงงานแลกค่าตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ
การเดินทางทั้งหมดกินเวลากว่า 4 ปี แต่เป็น 4 ปี ที่เปลี่ยนชีวิตเธออย่างใหญ่หลวง มันทำให้เธอสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องยึดติดกับเงินทอง มองโลกด้วยมุมมองใหม่ ๆ ที่เธอได้มาจากประสบการณ์การเดินทาง เธอเห็นได้ชัดว่าชีวิตเธอต่างไปจากเพื่อน ๆ ที่เข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็มีความคิดอยู่ในกรอบแคบ ๆ การเดินทางทำให้เปิดความคิดเธอเรื่องความรักเช่นกัน มีวันหนึ่งเธอพบนักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน เธอจึงถามเขาว่า ที่เดนมาร์กนั้นผู้ชายกับผู้ชายแต่งงานกันได้จริงหรือ ชาวเยอรมันนั้นตอบแบบติดตลกว่า "แน่นอน ในยุโรปน่ะ เธออยากจะแต่งงานกับใครก็แต่งได้ ถ้าเธอรักต้นไม้ เธอจะแต่งกับต้นไม้ก็ได้" ซึ่งความคิดเช่นนี้ดูแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในเมืองจีนสมัยนั้น แม้แต่คำว่า เกย์ ก็ยังเป็นคำที่ไม่มีใครจะพูดถึงแต่อย่างใด แต่คนเยอรมันคนนี้ก็ทำให้คิมได้เห็นว่าความรักไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะระหว่างคนต่างเพศเท่านั้น
หลังจากโบกรถเสร็จ คิมกลับมาที่เซี่ยงไฮ้และหางานทำ เธอก็ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองชอบผู้หญิง จนกระทั่งอายุ 25 เธอถึงตกหลุมรักผู้หญิงคนแรกในชีวิต จากวันนั้นเป็นต้นมานี่เป็นส่วนสำคัญในชีวิตเธอและเป็นส่วนที่ทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามของรัฐบาล
จากเซี่ยงไฮ้ คิมย้ายไปทำงานที่ปักกิ่ง ที่นี่เองที่เธอได้มีโอกาสพบกับสังคมหญิงรักหญิง ฉันถามเธอว่าแล้วในเมื่อไม่มีใครพูดถึงการรักเพศเดียวกันเลย แล้วเธอไปเจอคนอื่น ๆ ได้ยังไง คิมตอบว่า ตอนนั้นมีผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่งที่เปิดบ้านตัวเองให้เกย์มาพบปะสังสรรค์กัน แล้วหลัง ๆ ก็มีหญิงรักหญิงมาร่วมด้วย เธอเลยได้เจอะเจอเพื่อน ๆ ที่นั่น
คิมและเพื่อนร่วมกันตั้งกลุ่ม Beijing Sisters ขึ้นเพื่อจัดกิจกรรมสำหรับหญิงรักหญิง งานของกลุ่มก็เช่น จัดพิมพ์นิตยสารสำหรับหญิงรักหญิง เปิดสายฮอตไลน์ จัดงานเสวนาและสัมมนาต่าง ๆ กิจกรรมทั้งหมดนั้นทำอย่างลับ ๆ เพื่อให้ห่างไกลสายตาของตำรวจ เพราะแม้ว่าจะไม่มีกฎหมายระบุชัดเจนว่า ห้ามการดำเนินงานของคนรักเพศเดียวกัน แต่ตำรวจก็จับตามองดูอย่างใกล้ชิด และบางครั้งก็อาจจะแทรกแซงได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ปี 1997 Beijing Sisters ได้จัดงานประชุมเลสเบี้ยนระดับชาติขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศจีน คิมกล่าวติดตลกว่า "นี่เป็นงานใต้ดินจริง ๆ เพราะเราจัดประชุมกันที่ห้องใต้ดิน" ตลอดเวลา 2 วันของงาน มีหญิงรักหญิงจากทั่วประเทศมาประชุมกัน 20 กว่าคน งานนี้ประสบความสำเร็จและผ่านไปได้โดยไม่มีการแทรกแซงจากตำรวจ
แต่ Beijing Sisters ก็ไม่ได้โชคดีเช่นนั้นตลอด ในปี 2001 กลุ่มจัดงาน Queer Women Art Festival ขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ขณะที่เตรียมงานกันนั้น ตำรวจบุกเข้ามารื้อทำลายงาน พร้อมทั้งจับกุมคิมและเพื่อน ๆ ไปกักตัวอยู่ 17 ชั่วโมง ทุกคนถูกบังคับให้แสดงบัตรประชาชนและบอกชื่อจริงนามสกุลจริง ทำให้แต่ละคนกลัวกันมาก คิมบอกว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่คุกคามหญิงรักหญิงในเมืองจีนอย่างแรง
หลังจากครั้งนั้น Beijing Sisters ต้องหยุดกิจกรรมอย่างสิ้นเชิงเป็นเวลา 2 ปี คิมมีรายชื่อติดอยู่ในบัญชีดำของทางการ ทำให้เธอไม่สามารถร่วมจัดกิจกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวกับหญิงรักหญิงได้ แม้แต่จะเช็คอีเมล์เธอยังไม่สามารถทำได้ ซึ่งเธอคิดว่านี่เป็นเพราะทางการบล็อกอีเมล์เธอ
ทุกวันนี้คิมทำงานเป็นนักเขียนอิสระ แม้เธอจะจัดกิจกรรมหญิงรักหญิงไม่ได้ แต่เธอก็ยังสามารถเขียนเรื่องหญิงรักหญิงได้ แต่ไม่ใช่จะตีพิมพ์ได้เสมอไป บางครั้งบรรณาธิการก็ปฏิเสธไม่พิมพ์งานเธอ แต่ละสำนักพิมพ์จะระวังตัวเป็นอย่างมาก เพราะถ้าตำรวจจะเอาเรื่องขึ้นมา คนที่จะต้องได้รับโทษนั้นคือบรรณาธิการ ไม่ใช่คนเขียน แล้วก็ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าวันไหนตำรวจจะเอาเรื่อง "มันขึ้นอยู่กับดวงเท่านั้น" คิมบอก คิมหวังว่าหนังสือเรื่อง "ประวัติศาสตร์เลสเบี้ยนจีนจากคำบอกเล่า" ที่เธอเขียนขึ้นจะได้รับการตีพิมพ์สักวันหนึ่ง
คิมมองสถานการณ์ชาวสายรุ้งในเมืองจีนในปัจจุบันอย่างมีความหวัง ทุกวันนี้แม้งานขององค์กรต่าง ๆ จะต้องทำกันอย่างเงียบ ๆ และระมัดระวัง แต่คนที่อยู่ในเมืองใหญ่ก็สามารถได้ข่าวสารข้อมูลมากขึ้นผ่านทางอินเตอร์เน็ต คนพูดเรื่องรักเพศเดียวกันมากขึ้น แม้จะจำกัดอยู่แต่เฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับเอดส์ เร็ว ๆ นี้ก็มีข่าวว่าผู้หญิงสองคนไปจดทะเบียนแต่งงานกัน คนหนึ่งในนั้นดูเหมือนผู้ชายมากตำรวจเลยจดทะเบียนให้เพราะไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงทั้งคู่ แต่พอมารู้ตอนหลังก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายห้ามคนเพศเดียวกันแต่งงาน ในกฎหมายแค่ระบุว่าการแต่งงานต้องเป็นไประหว่างบุคคลสองคนเท่านั้น
สิ่งที่ดูแล้วให้ความหวังอย่างมากคือ เมื่อปีที่แล้วมีการประกวดนักร้องเพลงป็อบ ที่ให้คนดูโหวดเข้ามาให้คะแนน คนที่ได้รับรางวัล Supergirl คือ ลี ยู เชิน นักร้องหญิงที่แต่งตัวเป็นหนุ่มหล่อ เธอได้รับคะแนนโหวดล้นหลาม ความแรงของเธอทำให้มีผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นหนุ่มหล่อออกมาเดินตามท้องถนนเต็มไปหมด
ฉันถามคิมว่ามีความหวังอะไรต่อชุมชนหญิงรักหญิงจีนในอนาคตบ้าง คิมตอบว่า "คงต้องใช้เวลาอีกนานนะ ที่เราจะทำให้ดีขึ้นกว่านี้ มารวมตัวกันมากขึ้นเพื่อผลักดันขบวนการไปข้างหน้ามากกว่านี้ ให้เราปรากฏตัวในสังคมได้มากขึ้น สิ่งที่ดีที่สุดจะเกิดขึ้นได้ด้วยมือของเรานี่แหละ"
ทุกวันนี้ คิมยังคงรักการเดินทางและใช้วิธีเดินทางแบบเดิมเหมือนตอนเธออายุ 18 คิมบอกว่าเธอโกนผมเหมือนพระเพราะเธอคิดว่าตัวเองเดินทางโดยไม่มีสมบัติติดตัวอะไร เหมือนพระสมัยก่อนที่ใช้วิธีการเดินทางเช่นนี้ ตอนนี้เธออยู่ในระหว่างการเดินทางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นจังหวะเหมาะที่เธอมาเมืองไทยตอนที่เรากำลังมีงานไพรด์กันอยู่ เลยเป็นโอกาสดีที่พวกเราก็ได้เรียนรู้เรื่องราวชาวสายรุ้งจากแผ่นดินใหญ่ไปด้วย