Skip to main content

นักรบทะเลทราย

คอลัมน์/ชุมชน


 


ในความทรงจำที่เจ็บปวดยาวนาน...


อากาศทะเลทรายยามเย็นย่ำ เริ่มขมุกขมัว  ผู้คนที่ออกมาจับจ่ายใช้สอยในตลาด ต่างเร่งรีบ สถานการณ์สงครามไม่มีใครมั่นใจในใคร แม้แต่ทหารฝ่ายตนเอง เพราะอาวุธในมือ ฆ่าได้ทุกคน แม้แต่คนที่เกาะกุมมันเอาไว้


 


เธอเห็นเขายืนรออย่างกระวนกระวาย ใบหน้าคมคายเปื้อนฝุ่นเขรอะ  เสื้อผ้าและ ผ้าคลุมศีรษะมอมแมมแทบไม่เป็นสีขาว ไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป แต่แววตานั้นยังคงฉายแววกล้าแกร่ง  ยามสบตา..เพียงนิดเดียวที่ไหววูบ วูบนั้นที่ทำให้เธอยะเยือกเย็นและหวั่นไหวร้อนรุ่มในคราเดียวกัน   ไม่มีคำพูดใดๆ นอกจากแววตาที่บอกความหมาย ของความรักความห่วงใยไว้อย่างท่วมท้น


 


เธออยากผวาเข้าไปกอดเขา อยากบอกเขาว่ารักมากเพียงใด คิดถึงเขามากแค่ไหน ในช่วงเวลาที่พลัดพรากจากกัน แต่เท่าที่ทำได้ คือหยุดนิ่ง เก็บซ่อนอารมณ์ไหวหวั่นอ่อนแอนั้นไว้มิดชิด  เขาก็รู้  ถึงเธอจะหันหลังให้เพื่อหนีสายตาของเขาก็ตาม  ต่างรู้ว่าไม่อาจซ่อนความรักความห่วงใยที่มีต่อกันได้  และเมื่อไม่อาจ แสดงออกได้ ความทรงจำสุดท้ายที่เธอมี คือแววตาของคนจริงที่ไม่มีดวงตาใดเสมอเหมือน


 


"รีบไปเถอะ"  คำพูดแผ่ว ปราศจากอารมณ์อื่น นอกจากระมัดระวัง เธอจึงรีบสาวเท้าไปที่รถบรรทุกเล็กคันนั้น แล้วรีบขับออกมา ท่ามกลางความวุ่นวายจอแจของผู้คน ฉากสุดท้าย ที่เธอเห็น.....แววตานั้น  ช่างแสนรัก แสนห่วงใย  เหมือนคำอำลาสุดท้าย  ราวกับจะรู้ว่าจะไม่มีวันได้พบกันอีกแล้ว 


 


เขาตั้งใจนัดหมายในตลาด บริเวณที่มีคนจอแจ  อย่างน้อยหากผิดสังเกต ทหารจะไม่กล้ายิงเข้าใส่ฝูงชน แต่ขณะเดียวกัน เขาตั้งใจเอาตัวเองเข้าล่อ  เพื่อเบนความสนใจจากทหาร  เพื่อให้เธอ....คนที่เขารัก และเป็นคนที่เหมาะที่สุดที่จะขับรถขนอาวุธคันนี้เข้าเขตปกครองอิสระ   เพราะเธอสามารถยิงปืนได้ และที่สำคัญ  ทหารคงไม่คาดว่าหน่วยรบนี้จะมีผู้หญิงออกทำการรบ 


 


"ฉันเต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อแผ่นดิน แต่คุณตั้งใจแลกชีวิตเพื่อแผ่นดินและเพื่อฉัน"  เธอไม่อาจร้องไห้ ไม่อาจเสียใจ ไม่อาจอ่อนแอ เพราะเขาไม่เคยอ่อนแอ  แม้แต่นาทีสุดท้าย ที่เขากำลังจะถูกจับ....ตามการวางแผนเบี่ยงเบนความสนใจ


 


"ที่รัก หากโชคดี เราคงได้เจอกัน ในชาติใดชาติหนึ่ง" เธอเหยียบเท้าจมมิด ความเร็วรถกระชากความห่วงหาอาวรณ์ให้หลุดลอยไปกับฝุ่นทรายที่ปลิวฟุ้ง อยู่เบื้องหลัง


 


รุ่งสาง.....รถยนต์ที่เธอขับมาตลอดคืน ท่ามกลางสภาพถนนที่กำลังเร่งทำงานของฝ่ายรัฐบาลทหาร  ต้องมาหยุดกึก ตรงสะพานขาด  เธอทำใจดีสู้เสือ  เมื่อทหารที่ถือปืนอาก้า เข้ามาโบกให้เลี่ยงลงไปทางลำธาร เธอไม่สามารถเลือกได้  ด้วยเกรงจะเป็นพิรุธ  แต่เครื่องแต่งตัวแบบคนทะเลทราย ทำให้ยากที่จะรู้ว่าเธอเป็นหญิงหรือชาย


 


แต่แล้ว....เจ้ากรรมเสียจริง  กลางลำธาร ล้อรถจมลงในทราย เธอใจหายวาบ  จะทำอย่างไรดี......จะทำอย่างไรดี


 


ทหารคนนั้น เดินเข้ามาใกล้ และโบกไม้โบกมือให้เธอลงจากรถ พลางบอกว่า


"ของในรถหนักเกินไป คุณควรจะเอาลงเสียบ้างนะ เดี๋ยวผมจะเรียกเพื่อนๆ มาช่วย" เธออึ้ง ตัวเย็นวาบ แต่ยังไม่ลงจากรถ และยิ่งตกใจ เมื่อเขาเดินไปที่ท้ายรถ แล้วเปิดผ้าเต็นท์ที่คลุมออก....


 


พระเจ้าช่วย   ฉันจะทำอย่างไรดี....


 


ฉับพลัน...เธอผลักประตูรถ  ดีดตัวเองออกมา แล้ววิ่ง วิ่ง วิ่ง  ไปในทิศทางข้างหน้า วิ่งอย่างเต็มที่เต็มกำลังฝีเท้า แม้พื้นทรายจะแน่นหนืดเหนี่ยวรั้งเธอไว้เหมือนไม่ยอมให้ไปไหน  วิ่งอย่างไม่รู้ไม่รู้จุดหมายปลายทาง แว่วเสียงเอะอะ โวยวายจากเบื้องหลัง  ด้วยความตกใจกลัว  


 


เธอวิ่งราวกับล้อรถที่หลุดจากตัวรถ มุ่งไปตามแรงส่งอย่างไร้ทิศทาง ไร้การควบคุม   ทุกนาที..เธอรู้สึกเหมือนห่ากระสุนไล่ตามหลังมา  และอีกไม่นาน เธอก็จะล้มลงขาดใจตาย  สิ้นลมหายใจท่ามกลางฝุ่นทรายที่เหน็บหนาว ตายโดยปราศจากคนที่รักมารับรู้ 


 


นาทีนั้น เธอเริ่มรู้สึกไม่แยแสความตาย ไม่กลัวมันอีกแล้ว เมื่อคิดได้ว่า พวกมันคงฆ่าเขาไปแล้ว แต่เธอเสียใจ  เสียใจ ที่ไม่อาจทำงานให้แผ่นดินได้สำเร็จ  เสียใจเพราะว่าอีกนิดเดียว เธอก็จะผ่านเข้าสู่เขตปกครองอิสระของพวกเธอแล้ว


 


อีกนิดเดียว ที่วิถีการล่าจะสมบูรณ์แบบ แต่ก็ไม่...


 


เกมการล่า ที่มีบางอย่างบงการอยู่เบื้องหลัง  เกมนี้จึงยากจะเข้าใจ และไม่เคยให้โอกาสใครต่อรอง   ด้วยความเขลาเธอจึงทำพลาดอีกจนได้