Skip to main content

...ชื่นชมพนักงาน อสมท.

คอลัมน์/ชุมชน

การรวมตัวกันของพนักงาน อสมท. เพื่อต่อต้านการเข้ามาหาประโยชน์ชนิด "ชุบมือเปิบ" ของนายทุนจากค่ายผู้จัดการ นายทุนจากค่ายของเจิมศักดิ์  ปิ่นทอง และค่ายอื่น ๆ เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การชมเชย


 


มันเป็นการต่อสู้เพื่อรักษาหลักการและความถูกต้องที่เริ่มต้นจากเรื่องใกล้ตัวก่อน เรื่องใกล้ตัวที่กระทบโดยตรงนี่แหละครับที่เราจำเป็นต้องเคลื่อนไหวประท้วงเป็นอันดับแรก ๆ  อย่าเพิ่งไปคิดอะไรไกล หรือคิดการณ์ใหญ่ จัดการกับเรื่องใกล้ตัวเสียก่อน อย่างในที่ทำงานหรือกระทั่งในครอบครัวของตนเอง ไม่ปล่อยให้ความอยุติธรรม การเอารัดเอาเปรียบเกิดขึ้นแม้แต่ในครอบครัวของเราเอง ไปจนถึงในที่ทำงาน แล้วจากนั้นก็ค่อยขยับขยายไปสู่ปริมณฑลสาธารณะที่กว้างขึ้นตามแต่โอกาส


 


อาทิ ถ้าเราเป็นนักศึกษาหรือเป็นอาจารย์อยู่ในสถาบันการศึกษาและพบว่ามีเรื่องราวไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นในสถาบันฯ  หรือพบว่าอธิการบดีปันใจไปให้กับพวกเผด็จการ มันก็จำเป็นที่ท่านอาจารย์และนักศึกษาต้องตั้งคำถามกับเรื่องราวไม่ชอบมาพากลนั้น ตลอดจนตั้งคำถามกับการกระทำอธิการบดี ฯลฯ


 


พนักงาน อสมท. มาถูกทางแล้วครับ ยึดหลักความถูกต้อง ความยุติธรรม ความเป็นกลางเอาไว้ อย่าไปยอมให้กับนักฉวยผลประโยชน์ระดับชาติซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพวก "ว่าแต่เขา  อิเหนาเป็นเอง" ไม่ว่าจะเป็นสนธิ  ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นล๊อบบี้ยิสต์ระดับประเทศที่คอยฉกฉวยโอกาสวิ่งเต้นหยิบชิ้นปลามันอยู่ร่ำไป หรือเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งภายนอกเป็นนักวิชาการที่ชอบพูดเรื่อง "ชาวบ้าน" แต่ที่จริงเป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับ  "ชาวบ้าน" อย่างเต็มตัว ท่านเจิมศักดิ์มักจะบอกแก่พนักงานในบริษัทของท่านอยู่เสมอว่าทำงานกันด้วยความเป็นพี่เป็นน้อง หรือแม้แต่คนอย่างอาจารย์ธีรภัทร เสรีรังสรรค์ ซึ่งดูเหมือนจะมีอุดมการณ์และน่าชมเชยในตอนแรก แต่กลับออกลายในตอนหลังและรับใช้ "ท็อปบู๊ตทมิฬ"  ซะงั้น


 


ทางด้าน พงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร ซึ่งอยู่กับ "มติชน" มานานปีดีดักก็เลือกอย่างไม่ลังเลที่จะไปนั่งรักษาการณ์อยู่ อสมท.  ทางมติชนจึงไม่ควรรอให้พงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร ลาออก หากแต่ควรรีบปลดออกเสียโดยไว


 


ตอนที่พนักงาน อสมท.ยิงคำถามให้พงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียรตอบนั้นเป็นอะไรที่ดูไม่จืดจริง ๆ เพราะท่านตอบคำถามไม่ได้ ตะกุกตะกัก  หนำซ้ำยังเรื่อยเปื่อยไปโน่นไปนี่


 


ทางฟาก สนธิ  ลิ้มทองกุล ก็ออกมาฟาดงวงฟาดงา ทิงเนิด เถิดเทิงไปตามสไตล์ของแกโดยไม่เฉลียวใจเลยว่า หลังจากที่พี่แกทำประเทศให้ป่นปี้ด้วยการพาทหารเข้ามาปล้นประเทศ ก็ไม่มีใครเขาเชื่อถือแกอีกแล้ว แต่สนธิ แซ่ลิ้มก็พูดในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของเขาโดยไม่สนใจใครว่า


 


"ถ้าคุณไม่พอใจนโยบาย คุณไม่พอใจคนซึ่งบอร์ดเขาส่งมารักษาการแต่งตั้ง คุณลาออกไปเลย หรือถ้าคุณไม่ลาออก คุณเข้าชื่อเลย ลงตำแหน่งแห่งที่ให้เรียบร้อย เริ่มวันจันทร์นี้ส่งไปเลย ทั้งรองผู้อำนวยการ ที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังในการประท้วงครั้งนี้ส่งไปเลย ผมจะบอกอะไรให้คุณรู้ พวกคุณไม่ได้มีฝีมืออะไรพิเศษนักหนาหรอก คุณไปเมื่อไหร่ก็หาคนแทนได้ทันที มีคนอีกเป็นแสนที่อยากจะเดินเข้าไปทำงานใน อสมทฯ คุณอย่าเพิ่งลืมตัว"


 


นี่ขนาดว่ายังไม่ได้เข้าไปทำรายการใน อสมท. พี่แกก็วางตัวเป็นเจ้าของ ไล่พนักงาน อสมท. ออกแล้ว ถ้าได้เข้าไปทำรายการที่ อสมท. พี่แกคงจะเป็นมาเฟียของที่นี่ไปเลย คนแบบนี้หายากจริงๆ นอกจาก "ด้าน"  อย่างไม่มีที่ติแล้ว ยังก้าวร้าวแบบไม่มีกาละเทศะอีกด้วย พี่แกพูดเป็นต่อยหอยในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของเขาต่ออีกว่า


 


"ผมทำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ผมใช้แนวสื่อมวลชนที่แท้จริง พวกคุณเที่ยวไปว่าอาจารย์ป๋อง (พงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร) ขาดสัมมาคารวะ คุณไปหลุดคำพูดว่า สมัยที่เรียนกับอาจารย์ อาจารย์พูดไม่รู้เรื่องมาจนกระทั่งวันนี้ก็ยังพูดไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม คุณรีบตบปากคุณซะ เพราะถ้าคุณไม่ตบปากคุณ อย่าให้ผมรู้ว่าใครพูด  ผมจะตบปากคุณเอง"


 


เห็นไหมครับความกักขฬะของสนธิ  ลิ้มทองกุล ที่คิดจะไปตบปากเด็ก ซึ่งว่ากันตามอายุ พนักงานเหล่านี้ ที่ต่อต้านความชั่วร้ายที่มาพร้อมกับผลประโยชน์ก็ไม่ได้เป็นเด็กแต่อย่างใด คงไม่ทันฉุกคิดกระมังว่าตัวเองอายุเท่าไหร่แล้ว 


 


อาจดูเหมือนว่าเป็นเรื่องภายใน อสมท. เอง แต่จริงๆ ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของการแบ่งเค้กจากความสำเร็จในการรัฐประหาร


 


มันเป็นเรื่องของความไม่โปร่งใส ใช้ช่องทางพิเศษตัดหน้าคนอื่นในการเข้ามาผลประโยชน์จาก อสมท.


มันเป็นเรื่องของจรรยาบรรณของนักสื่อสารมวลชน


และมันเป็นเรื่องของประชาชนที่ควรจะได้ดู ได้ชมรายการดีๆ จากอสมท. ไม่ใช่รายการปลุกระดมและโฆษณาชวนเชื่อ


 


การเคลื่อนไหวของพนักงาน อสมท. แม้จะเป็นการกระทำในระดับองค์กร แต่ก็เป็นประเด็นระดับประเทศ