Skip to main content

เฮือนสุนทรี Brasserie และสุดสะแนน

มีร้านอาหารและเครื่องดื่ม


ในตัวเมืองเชียงใหม่อยู่ 3 ร้าน คือเฮือนสุนทรี Brasserie และสุดสะแนน ซึ่งต่างมีดนตรีที่มีลักษณะพิเศษโดดเด่นเฉพาะตัวเล่นในร้าน เป็นมนต์เสน่ห์ดึงดูดให้ผู้คนไปนั่งดื่มกินและฟังเพลงกันอย่างคับคั่งแทบทุกค่ำคืน


 


ยิ่งเป็นคืนวันที่มีเทศกาลอะไรสักอย่างในตัวเมืองเชียงใหม่ ถ้าหากคุณและมิตรสหายอยากจะไปนั่งร้านใดร้านหนึ่งใน 3 ร้านนี้ คุณควรจะโทรไปจองโต๊ะไว้ล่วงหน้า หรือรีบพาสมัครพรรคพวกไปตั้งแต่หัวค่ำ ถ้าหากคุณไม่อยากผิดหวัง เว้นแต่คุณจะยินดียืนรอโต๊ะว่าง ก็ไม่มีใครเขาว่ากัน


 


ด้วยดนตรีและบทเพลง


ที่ต่างมีลักษณะพิเศษโดดเด่นเฉพาะตัวนี้ จึงมิใช่เรื่องที่แปลกที่จะมีคนพูดกันว่า ถ้าหากคุณไปนั่งร้านเฮือนสุนทรีแล้วไม่ได้ฟัง สุนทรี เวชานนท์  ร้องเพลงโฟล์กซองคำเมือง ไปนั่งร้าน Brasserie ไม่ได้ฟังตุ๊ก –วัชระ เจริญพร เล่นกีตาร์และร้องเพลงสากลสไตล์ร็อคแอนด์บลู ไปนั่งร้านสุดสะแนนไม่ได้ฟังฮวก-อรุณ ศรีสวัสดิ์ กับชวด – ชัยวัฒน์   มัตถิตะเตา ตีกลองและเล่นกีตาร์ ผลัดเปลี่ยนกันร้องเพลงแนวเพื่อชีวิตในสไตล์แบบสุดสะแนน ที่ผสมผสานท่วงทำนองดนตรีพื้นบ้านจากดินแดนที่ราบสูงเข้ากับความเป็นสากลของดนตรี เขาก็จะถือกันว่าคุณยังเดินทางไปไม่ถึงจิตวิญญาณของร้านทั้ง 3 ร้านนี้


 



 "ตุ๊ก บราซเซอร์รี่"


 


บางคนถึงกับฟันธงลงไปเลยว่า ถ้าหากร้านทั้ง 3 ร้านนี้ ไม่มีนักร้องนักดนตรีที่เอ่ยนามมานี้ เป็นตัวยืนอยู่ในร้านของตัวเอง เป็นเรื่องยากยิ่งที่ร้านทั้ง 3 ร้านนี้ จะยืนหยัดอยู่ได้โดยปราศจากพวกเขา


 



 "วงสุดสะแนน"


 


เพราะสุนทรี เวชานนท์แห่งเฮือนสุนทรี


ตราบเท่าจนถึงทุกวันนี้ เธอก็ยังคงความเป็นเทวีของนักร้องเพลงโฟล์กซองคำเมือง ที่สื่อสารตัวตนและวัฒนธรรมของคนล้านนาที่โดดเด่นที่สุด และเป็นดาวค้างฟ้าที่ยังไม่มีใครขึ้นมาเทียบได้ นอกจากจรัล มโนเพ็ชร ศิลปินทระนงผู้ยิ่งใหญ่จากล้านนา ผู้ล่วงลับไปแล้ว


 


เพราะตุ๊ก-วัชระ เจริญพร คือกีตาร์ฮีโร่ ที่มีสำเนียงกีตาร์อันหนักแน่นเฉพาะตัว เสริมส่งให้เขากู่ตะโกนพลังที่ไม่ต้องยับยั้งอดออมของร็อคแอนด์บลู พวยพุ่งออกมาขัดแย้งบาดหมางและกลมกลืนกับความศิวิไลซ์อันจัดจ้านของเมือง ได้อย่างลงตัวและสง่างามเป็นอย่างยิ่ง


 


เพราะฮวก-อรุณ ศรีสวัสดิ์ กับชวด-ชัยวัฒน์  มัตถิตะเตา คือความเชื่อมั่นของคนรุ่นใหม่ ที่ยืนหยัดเล่นดนตรีด้วยหัวใจที่เขาอยากจะเล่น จากบทเพลงที่เขาพากเพียรสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยน้ำมือและมันสมองของเขากับพวกพ้อง ทวนกับกระแสดนตรีตามความนิยมของตลาดที่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เหมือนกันหมด จนแทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร.


 


จึงมิใช่เรื่องที่แปลก


ที่รมณียสถานทั้ง 3 แห่งนี้ จะมีผู้คนตั้งแต่คนในท้องที่และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เข้าไปสัมผัสอัตลักษณ์สุนทรีย์แห่งดุริยะศิลป์ของพวกเขา และเลือกได้ตามรสนิยมวิไลที่สอดคล้องต้องใจดังนี้


 


เฮือนสุนทรีคือที่ที่สำหรับคนที่ต้องการสัมผัสกับความเยือกเย็น และนุ่มนวลอ่อนหวานแบบล้านนา


 


Brasserie คือที่ที่สำหรับคนที่ต้องการสัมผัสกับความเปิดเผยจะแจ้ง และตรงไปตรงมาแบบตะวันตก


 


สุดสะแนน คือที่ที่สำหรับคนที่ต้องการสัมผัสกับความเคร่งขรึมอันรื่นรมย์ของกวี นักคิดนักเขียน จิตกร นักศึกษา ปัญญาชน และนักกิจกรรมทางสังคม ฯลฯ


           


ด้วยเหตุนี้


พื้นที่ทางวัฒนธรรมเริงรมย์ของพวกเขา จึงเป็นมุมเล็ก ๆ อีกมุมหนึ่งในยามค่ำคืนของเมืองเชียงใหม่ ที่ผู้คนของกลางคืนบอกเล่ากล่าวขวัญสืบต่อกันมา ปากต่อปากคำต่อคำ และกากบาทมาดหมายลงไปบนแผนที่ของเมืองอย่างชัดเจน


 


น่าเสียดายที่ จรัล มโนเพ็ชร มาด่วนจากไป หาไม่เช่นนั้น ร้านสายหมอกกับดอกไม้ คงเป็นกากบาทของคนกลางคืน อีกแห่งหนึ่งที่ยากจะลบเลือนได้…


 


คืนนี้


ถ้าคุณไปนั่งร้านเฮือนสุนทรี อย่าลืมขอเพลง "น้อยไจยา" จากสุนทรี เวชานนท์ เทวีแห่งโฟล์กซองคำเมือง ฟังเผื่อผมด้วย


 


คืนนี้


ถ้าคุณไปนั่ง Brasserie อย่าลืมขอเพลง "The house of the Rising sun" จากตุ๊ก-วัชระ ประทานพร กีตาร์ฮีโร่ร็อคแอนด์บลู ฟังเผื่อผมด้วย


 


คืนนี้


ถ้าคุณไปนั่งสุดสะแนน อย่าลืมขอเพลง "ฉันกลัวเพลงสุดท้าย" จากฮวก-อรุณ ศรีสวัสดิ์ และชวด-ชัยวัฒน์ มัตถิตะเตา ในอัลบั้มล่าสุดของเขา ฟังเผื่อผมด้วย


และอย่าลืมกระซิบเบา ๆ กับชวด –ชัยวัฒน์ มัตถิตะเตา อีกครั้งหนึ่งว่า อ้ายถนอม ไชยวงษ์แก้ว จากกระท่อมทุ่งเสี้ยว สันป่าตอง ฝากมาบอกขอให้เล่นเพลงที่มีชื่อว่า "เหมือนดั่งดอกหญ้า" มอบให้กับสาวสวยชุดดำที่ชื่อว่า วิมายา ถ้าหากว่าคืนนี้…เธอยังคงมานั่งที่นี่กับความเหงาแต่เพียงลำพังผู้เดียว.