Skip to main content

นกร้องเพลงตัวนั้นตายแล้ว

ในเช้าวันหนึ่ง น้องเคจรู้สึกเหมือนตกอยู่ในภาวะกึ่งจริงกึ่งฝันเมื่อได้ยินเสียงร้องเพลงที่มีท่วงทำนองซ้ำๆ ของนกชนิดหนึ่ง น้องเคจพยายามเหลียวมองหาตัวนกที่มาร้องเพลง แต่มองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เสียงนั้นดังมาจากต้นไทรย้อยหลังห้อง เป็นเสียงแหลม หวาน น้องเคจไม่เคยได้ยินนกที่มีเสียงไพเราะถึงขนาดนี้มาก่อน


 


ไม่มีเนื้อเพลง มีแต่เสียงร้องที่บางครั้งก็โหนขึ้นสูงสุดอย่างโหยหวน ได้ยินแล้วอดที่จะสะท้อนสะท้านในใจไม่ได้ แต่บางครั้งกลับเป็นเสียงแผ่วต่ำราวเสียงรำพึงที่ซึ้งเศร้า แต่ไม่ว่าโทนเสียงจะเป็นอย่างไรก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีไม่น้อยที่ยังมีเสียงเพลง 


 


เช้าวันต่อมา น้องเคจได้ยินเสียงร้องเพลงนั้นอีกครั้ง เขาตั้งใจฟังอยู่นาน จนกระทั่งเขาลุกขึ้น แล้วเดินอย่างเงียบกริบไปที่หน้าต่างเพื่อมองหาเจ้าของเสียงนั้น, เสียงที่จงใจจะสื่อสารกับเขาเพียงคนเดียว เขามองไปยังทุกกิ่งก้านสาขาของไทรย้อย แต่เสียงร้องเพลงกลับเงียบหายไปทันใด


 


ต้นไทรย้อยที่อยู่หลังห้องต้นนั้น มีอายุราวสักหกสิบปีได้ มันมีผลสีแดงราวกับริมฝีปากของสาวแรกรุ่น   กิ่งก้านแข็งแรงของมันเหยียดแผ่ออกไปทุกทิศทาง ม่านไทรห้อยย้อยและแกว่งไกวกระทบกันกรูกราวเวลาลมพัด


 


ตรงกลางลำต้นอันใหญ่โตนั้น หากสังเกต จะเห็นต้นไม้อีกชนิดหนึ่งที่โดนไทรย้อยโอบรัดแล้วกลืนกินไว้ ธรรมชาติช่างขัดกันเสียนี่กระไร  ในขณะที่มันเขมือบกลืนไม้ชนิดอื่นไว้จนไม่อาจเติบโตต่อหรือกระทั่งตายไป มันก็กลายเป็นแหล่งอาศัยให้ลูกผลและร่มเงาแก่เหล่านกกา มันทำลายบางอย่างแต่ก็ให้อีกอย่างหนึ่งเป็นการตอบแทน…


 


น้องเคจลองเอาเบ็ดเกี่ยวเหยื่อแล้วหย่อนลงไปในร่องน้ำ ปรากฏว่าได้ปลาช่อนอ้วนพีตัวเท่าแขน ท่าทางปลาคงชุมมากทีเดียว


 


เช้าวันที่สาม เสียงเพลงจากนกตัวนั้นดังติดต่อกันเป็นวันที่สาม นอกจากเสียงนี้จะสร้างความเพลิดเพลินสำหรับการนอนหลับคุดคู้อยู่ในยามเช้ามืดอย่างเป็นสุขแล้ว มันถือเป็นลางที่ดีสำหรับการเริ่มต้นของวันใหม่  สามวันมานี้น้องเคจเจอแต่สิ่งที่น่าจดจำ


 


ด้วยความสงสัย และความอยากรู้อยากเห็น น้องปีนข้ามกำแพงของบ้านเช่าอย่างยากลำบากแล้วเดินตรงไปยังไทรต้นนั้น แสงแดดยังไม่ส่องสว่างมากนักอีกทั้งกิ่งใบของต้นไทรก็บดบังความสว่างในยามเช้าไปเสียสิ้น


 


ความมัวซัวทำให้น้องเคจเห็นสิ่งต่างๆ ผิดแผกไปจากเดิม พุ่มไม้กลมๆ ที่ยืนตะคุ่มอยู่ในความสลัวนั้นมองดูคล้ายศีรษะใหญ่ๆ ของคน น้องเคจคงตาฝาดไปแน่ๆ เมื่อมองเห็นว่ามีคนนั่งแกว่งขาอยู่บนกิ่งไทร เพื่อให้แน่ใจเขาเพ่งมองออกไปตรงๆ แต่ก็ไม่เห็นอะไร


 


ทันทีที่น้องเคจตั้งใจจะค้นหาที่มาของเสียงร้องเพลงนี้ เสียงเพลงก็กลับเงียบลงไป นกที่กำลังร้องเพลงคงรู้ตัวและไม่อยากให้เขาจับได้


 


เสียงสวบสาบคล้ายคนเดินย่ำเท้าหนักๆ ลงบนหญ้าดังขึ้นมาจากด้านหลังจนเขาต้องเหลียวหลังไปมอง ความหวาดหวั่นอย่างไม่มีที่มาพุ่งขึ้นจนถึงจุดที่เขาเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ศีรษะน้องเคจเหมือนจะโป่งออกด้วยความตกใจ เขาร้องดังลั่นวิ่งกลับไปยังห้องพัก,สะดุดคันดินล้มลงและโดนเศษแก้วบาดเป็นแผลเหวอะ,ปีนข้ามกำแพง และร้องเรียกหาแม่…


 


น้องเคจเป็นลูกคนเดียว แม่จึงรักมากเป็นพิเศษ แต่แม่ก็ไปทำงานที่อื่น ทิ้งเขาไว้กับญาติคนหนึ่งซึ่งไม่ค่อยเอาใจใส่เขามากนัก เขาต้องซักเสื้อนักเรียนเอง และเสื้อสองตัวก็เก่ามากแล้ว ส่วนรองเท้านักเรียนก็ขาดเป็นรูโหว่หลายจุด  ส่วนพ่อนั้นเลิกกับแม่ไปนานแล้ว และไม่เคยมาหาเขาบ้างเลย


 


แผลที่โดนเศษแก้วบาดใหญ่และลึกไม่ใช่เล่น  น้องเคจนอนปวดระบมจากบาดแผลทั้งคืนและต้องตื่นอยู่หลายครั้งเพราะความปวด  


 


เช้าวันที่สี่ เสียงร้องเพลงจากนกตัวนั้นดังขึ้นอีกครั้งในตอนเช้ามืด ความเงียบในช่วงเวลานั้นทำให้ได้ยินเสียงร้องเพลงชัดเจนดูเหมือนว่าสายใยสัมพันธ์ระหว่างเขากับเสียงนั้นได้ถูกถักทอขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว


 


น้องเคจนิ่งนอนฟังอยู่ชั่วครู่ มันไพเราะวาบหวามเสียจนเขาอยากจะนอนอยู่อย่างนั้นโดยไม่ต้องลุกขึ้นมาอีกเลย  เป็นเสียงร้องเพลงที่แสนรื่นรมย์เท่าที่ธรรมชาติจะสร้างขึ้นออกมาได้


 


น้องเคจลุกขึ้น มองไปยังหน้าต่าง (โดยไม่คิดที่จะปีนข้ามกำแพงออกไปอีกแล้ว) ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ มีแต่ต้นกล้วย ต้นไทร   และพงหญ้าสูง  แต่แล้วสายตาของเขาก็กวาดไปเห็นนกตัวหนึ่ง...


 


มันเป็นนกตัวสีเขียว หางออกแดงๆ จงอยปากคล้ายนกแก้ว ใช่แน่แล้ว! เสียงร้องเพลงดังมาจากนกตัวนี้นี่เอง มันยังคงกู่ร้องระรัวราวกับชีวิตทั้งหมดของมันขึ้นอยู่กับเสียงร้องเพลงนี้ เขารู้สึกโล่งใจอย่างมากที่หาเจ้าของเสียงเจอ


 


นกตัวนั้นหยุดขับขานบทเพลงของมันแล้วแต่กลับจ้องมองตรงมายังน้องเคจ เป็นการมองอย่างจงใจ มันกระพือปีกทำท่าคล้ายจะบินแต่ก็ไม่บิน


 


"เจ้านกน้อย" เด็กน้อยพูดกับมัน "เจ้าบินมาจากไหนและจะไปยังที่ใดหรือว่ารวงรังของเจ้าอยู่แถวนี้หรือว่าเจ้ากำลังบาดเจ็บ" มันเอียวคอไปด้านข้าง แล้วส่งเสียงตอบคำพูดของเขา


 


น้องเคจหลับไปอีกครั้ง แล้วก็ฝันไปว่าเขากำลังเดินอยู่บนสันเขาที่ไหนสักแห่งพร้อมแบกสัมภาระอีกเล็กน้อยอยู่บนหลัง เขาหยุดอยู่บนยอดเขานั้นและมองไปยังความขาวของปุยเมฆ สูดกลิ่นอิสรภาพอันแสนหวาน ใกล้ที่เขายืนอยู่นั้น มีนกร้องเพลงตัวที่ร้องเพลงให้ฟังในยามเช้าบินวนอยู่ใกล้ ๆ  จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเองสามารถบินได้ เขาจึงบินไปพร้อมกับนกร้องเพลงตัวนั้นสู่ขอบฟ้าไกล


 


รุ่งขึ้นของอีกวัน เด็กน้อยไม่ได้ยินเสียงร้องเพลงของนกตัวนั้นอีกแล้ว และเขาก็มีแต่ความกังวลใจ การไม่ได้ยินเสียงเพลงจากนกตัวนั้นอีกทำให้เขากระสับกระส่าย เขาได้แต่เดินไปเดินมาภายในห้อง  หลังจากวันที่เขาค้นพบมันแล้ว  เขาก็คิดว่าจะให้อาหารมันและเลี้ยงมันไว้เป็นเพื่อน ให้มันร้องเพลงให้ฟัง เพราะท่าทางมันออกจะเชื่องอยู่มากทีเดียว


 


เขามองออกไปทางหน้าต่างห้อง มองไปยังที่ที่เคยเห็นนกร้องเพลง แต่ไม่เห็นตัวมันแล้ว มองหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ   เขายิ่งกระวนกระวายมากยิ่งขึ้นและรู้สึกอึดอัดเพราะเสียงนั้นได้หายไป


 


เขาตัดสินใจปีนข้ามกำแพงหอไปยังบริเวณต้นไทรย้อยอีกครั้ง โดยเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นเพราะกลัวจะไปเหยียบเอาเศษแก้วเข้าอีก คราวนี้เป็นเวลาเที่ยง แสงสว่างและความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้เขาไม่รู้สึกกลัวมากนัก แต่เมื่อไปถึงร่มเงาของไทรย้อยแล้ว อากาศกลับเย็นลงทันทีและลมก็พัดพึมพำเหมือนเสียงคนพูด ชิงช้ารากไทรยังคงแกว่งไกวอยู่ตลอดเวลาราวกับว่ามันจะแกว่งไกวอยู่อย่างนั้นจนถึงกัลปาวสาน


 


เมื่อเดินฝ่าพงหญ้าสูง แหวกผ่านม่านไทรที่ห้อยย้อย และมองลงไปตรงโคนต้น  น้องเคจมองเห็นซากของนกตัวหนึ่ง เขาจำได้อย่างแม่นยำว่ามันเป็นตัวเดียวกับนกร้องเพลงที่เขาตามหาอยู่   อนิจจา ! มันตายแล้ว


 


มดแดงเกาะยุบยับอยู่ตามตัว เขาสังเกตเห็นว่าบริเวณหน้าอกของนกตัวนั้นมีรอยบาดแผล  เขารู้สึกหวาดหวั่นและเสียใจจนอยากจะร้องไห้ ความตายของนกตัวนี้มันทำให้เด็กน้อยสะเทือนใจอย่างไม่อาจระงับ  นกร้องเพลงตัวนั้นได้ตายเสียแล้ว.