Skip to main content

Maekong’s Journey : เยือนเวียตนาม ถิ่นงามแห่งอาคเนย์

คอลัมน์/ชุมชน

ประเทศเวียตนาม เป็นประเทศสุดท้ายของทริปแม่โขงรอบนี้


 


คนไทยมักจะคุ้นเคยกับเวียตนาม ในรูปแบบการทานอาหารเวียตนามที่มีอยู่ทุกหัวระแหง แม้จะไม่ฮิตฮอตเท่าอาหารญี่ปุ่น หรืออาหารเกาหลี แต่ถือว่าหากินได้ไม่ยากนักตามหัวเมืองใหญ่ หรือแม้กระทั่งละครหลังข่าวบางเรื่องที่มีการดำเนินเรื่องโดยใช้ประเทศเวียตนามเป็นฉากอยู่เบื้องหลัง


 


ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นการทำความรู้จักเวียตนาม หรือคนเวียตนามอย่างผิวเผินเท่านั้น ทั้งนี้ประวัติศาสตร์ และความเป็นชาติของเวียตนามนั้น ล้วนมีความน่าสนใจให้ศึกษาและละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก  ทั้งนี้ผมมิอาจกล้าหาญกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของชาติเวียตนามได้ในบทความนี้ เพราะข้อมูลเท่าห่างอึ่งที่มีอยู่ก่อนเดินทางนั้นไม่ได้สามารถทำให้ผมรู้จักเวียตนามได้ถ่องแท้แต่อย่างใด หรือแม้กระทั่งเมื่อไปเหยียบอยู่บนผืนแผ่นดินเค้าแล้ว สิ่งที่ได้พบ ได้เห็นล้วนแต่เป็นบรรยากาศของประเทศ ดังนั้นคิดว่าน่าจะเริ่มต้นบทความนี้ด้วยบรรยากาศที่ได้ไปพบพาน และความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียนต่อประเทศนี้ น่าจะดีกว่า


 


"ซินจ๋าว" เป็นภาษาเวียตนาม แปลว่าสวัสดี ผมมาเที่ยวเวียดนามช่วงปลายฤดูฝน ซึ่งปีนี้ถือว่าเป็นฤดูฝนที่ยาวนานกว่าปีไหนๆ ก่อนที่ล้อเครื่องบินจะแตะลงบนรันเวย์ ทัศนียภาพเบื้องล่างเต็มไปด้วยทุ่งนาสีเขียวขจี สุดลุกหูลูกตา ให้เดาออกว่าประเทศนี้เป็นประเทศเกษตรกรรม แบบบ้านเรา ถ้าดูจากแผนที่โลกจะสังเกตว่าลักษณะของภูมิประเทศของเวียตนามนั้นจะมีลักษณะเรียวยาว ตั้งแต่ทิศเหนือจรดทิศใต้ ทางด้านตะวันออกของประเทศจะมีภูมิประเทศติดกับทะเทจีนใต้ ทิศเหนือจะติดต่อกับประเทศจีน ส่วนทิศตะวันตก และทิศใต้จะติดกับประเทศลาว และประเทศกัมพูชา ตามลำดับ ประชากรทั้งหมดของประเทศเวียตนามพบว่ามีราวๆ 84 ล้านคน ศูนย์กลางของทางเหนือคือเมืองฮานอย ซึ่งเป็นเมืองหลวงด้วย และศูนย์กลางของทางใต้ก็คือ เมืองโฮจิมินจ์ซิตี้ ซึ่งมีชื่อเดิมว่า เมืองไซง่อน


 


จากสนามบินเข้าไปในตัวเมืองฮานอย ถ้ามีการเรียกราคาเหมาจ่ายจากคนขับรถแท๊กซี่ที่อยู่บริเวณนั้น ประมาณ 10 USD ถือว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผล ไม่ควรดูตามมิเตอร์เพราะราคาจะสูงกว่ามาก อันนี้แนะนำเฉพาะจากสนามบินเข้าไปในตัวเมืองฮานอย เท่านั้น การเดินทางมาในช่วงนี้ พบว่าอากาศที่นี่ร้อนชื้นพอๆ กับบ้านเรา ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเอาเสื้อแจ็คเก็ตทุกชนิดไป แต่ถ้าฤดูหนาว ก็จะหนาวมาก ก็ให้ศึกษาอากาศให้ดีก่อนเดินทาง จะได้ไม่เปลืองเนื้อที่กระเป๋าเดินทาง


 


เนื่องด้วยทริบนี้เป็นทริบที่มีเวลาอยู่อย่างจำกัด ผมจึงไม่สามารถเดินทางออกไปไหนได้ไกลมากนัก เลยตัดสินใจเดินเที่ยวอยู่แถวๆ ในเมือง  ไปชมหุ่นกระบอกน้ำ (Water puppet theatre) ซึ่งเป็นการแสดงที่ร่ำลือว่า ถ้ามาฮานอยแล้วไม่ได้ชมการแสดงนี้ถือว่ามาไม่ถึงฮานอยขนาดนั้นเลยที่เดียว เมื่อเข้าไปดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นการแสดงที่น่าสนใจมาก มีประวัติความเป็นมามากกว่าพันปี(http://www.thanglongwaterpuppet.org/news.htm )   ซึ่งแม้จะฟังเนื้อหาไม่เข้าใจ แต่ก็พอเดาออกว่าเนื้อเรื่องต้องการบอกอะไร รู้สึกชื่นชมกับคนเชิดหุ่นที่ต้องแช่อยู่ในน้ำตลอดเวลาในขณะที่กำลังแสดง  นอกจากนี้การแสดงนี้ยังไปคว้ารางวัลนาชาติในเทศกาลศิลปะมาแล้วทั่วโลกอีกด้วย


 


เมื่อการแสดงเสร็จสิ้นผมเดินออกมาจากโรงละครด้วยความอิ่มเอิบใจ พลันในใจคิดถึงคณะละครโจหลุย ที่กรุงเทพ เตลิดเปิดเปิงไปถึงสยามนิรมิต หรือศิลปะการแสดงอื่นๆ ของบ้านเรา  เนื่องจากว่าผมมีโอกาสน้อยครั้งถึงไม่มีโอกาสเลยที่จะได้ไปชื่นชมศิลปะอันทรงคุณค่าเหล่านั้น  แต่กลับมาชื่นชมกับหุ่นกระบอกน้ำของฮานอยได้อย่างเบิกบาน ไม่รู้ว่าคนเวียตนามมากน้อยแค่ไหนที่ได้ชื่นชมศิลปะการแสดงที่มีอายุมากกว่าพันปีแห่งนี้


 


บริเวณด้านนอกโรงละครพบว่ามีร้านขายรองเท้าจำนวนมากเรียกว่าเป็นตลาดรองเท้าขนาดใหญ่ก็ว่าได้ รองเท้าส่วนใหญ่ที่ขายที่นี่ไม่ได้เป็นรูปแบบพื้นเมือง หากแต่เป็นแบบสไตล์โมเดิร์น และเป็นสินค้าระดับแบรนด์ชื่อดัง คิดว่าเป็นของลอกเลียนแบบที่มีคุณภาพเกรดเอ ซึ่งสนนราคาก็ไม่เบาเลยทีเดียว


 


เมื่อเริ่มหิวได้ที่ผมก็ไปหากินเฝอ หรือก๋วยเตี๋ยว นั่นเอง ตามข้างทางริมฟุตบาทนี่หละครับ รู้สึกมีชีวิตชีวามาก เพราะจะนั่งยองๆ กับม้านั่งตัวจิ๋วตามริมฟุตบาท ใครผ่านไปผ่านมาก็ไม่ได้มีใครใคร่สนใจใครเท่าไหร่  ผมชอบรสชาติของเฝอมาก แต่ก็คิดว่าหลายคนอาจจะไม่ชอบ เพราะเฝอที่เวียตนาม กับที่บ้านเรา (แถวๆ อุบล) รสชาติไม่เหมือนกันเลย ก็อย่างว่านั่นล่ะครับ ไม่ว่าอาหารของชาติไหนก็ตามเมื่อมันไม่ได้อยู่ถูกที่ถูกทางมันก็ย่อมต้องกลายพันธุ์เป็นไปตามธรรมดาของโลก ก็คงไม่ต่างอะไรกับกระบองเพชรหนามนุ่มบนเกาะกาลาปากอส ที่ประเทศเอกวาดอร์ซักเท่าไหร่ ที่ต้องกลายพันธุ์เหมือนกัน


 


เป็นที่รับทราบกันดีว่าคนเวียตนามจะนิยมใช้มอเตอร์ไซด์มากๆ และเสียงแตรรถก็จะดังไปถ้วนทั่วหัวระแหง อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา เคยชินของคนที่นี่ไปแล้ว สำหรับคนต่างชาติต่างภาษาที่ไปเยี่ยมเยียนก็ขอให้ดูดีๆหน่อยเวลาข้ามถนนเพราะต้องใช้ทักษะการหลบหลีกขั้นสูงเลยก็ว่าได้  ผมว่าผมก็ขับมอเตอร์ไซด์เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้วนะ เรื่องการหลบหลีกรถมอเตอร์ไซด์บนท้องถนนก็คิดว่าทำได้สบายๆ แต่ก็ต้องบอกว่าถนนที่ฮานอยนี้โดยเฉพาะกลางสี่แยกใหญ่ๆ นั้นปราบเซียนจริงๆ


 


ผมสังเกตอยู่อย่างหนึ่งว่า จะมีแม่ค้าที่นั่งอยู่ตามสวนสาธารณะมาชวนผมถ่ายรูป พร้อมยังจัดท่าจัดทางให้หาบของที่เธอขาย เอาหมวกแบบกรวย เหมือนที่เราเห็นในรูปที่สาวเวียตนามใส่มาให้เราใส่ คือจะบอกว่าถ้าเราไปถ่ายเราต้องเสียเงินค่าถ่ายนะครับ เหมือนสตูดิโอถ่ายภาพเคลื่อนที่เลยล่ะ ไม่ใช่ฟรีๆ เห็นมั้ยครับว่า จากวิถีชีวิตทั่วไปกลายเป็นธุรกิจทำเงินชั้นยอด กับนักท่องเที่ยวผู้ที่อยากสัมผัสประสบการณ์ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย ก็ถ้าใครยังไม่ได้ไปเยือนเวียตนามก็ลองหาโอกาสไปนะครับ ก่อนที่อะไรๆ มันจะต้องจ่าย และสร้างขึ้นมาเพื่อการท่องเที่ยวไปซะหมด เหมือนเมืองไทย


 


ผมเสียดายอย่างหนึ่งว่าผมไม่มีเพื่อนอยู่ที่นี่เลย จึงได้สัมผัสฮานอยแบบผิวเผินเท่านั้น ไม่ได้เรียนรู้ความคิดความอ่าน ของคน หรือว่าความลึกซึ้งอะไรขึ้นเลย ไม่ต่างอะไรกับการไม่ได้ไป และอ่านหนังสือท่องเที่ยวอยู่ที่บ้าน  ผมเรียนรู้ว่าถ้าเรามีเพื่อนอยู่ในสถานที่ที่เราจะไปเที่ยวและให้เพื่อนแนะนำ หรือเที่ยวกับคนท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นการดีที่สุด