Skip to main content

เที่ยวไปที่กุ้ยหลินยามแรกหนาว (1)

คอลัมน์/ชุมชน

ฉันออกมาเที่ยวนอกเมืองกวางเจาไปยังสถานที่ไม่ไกลนัก แสนสงบ และงดงามยิ่ง


แวบไปเที่ยวที่กุ้ยหลิน( gui4 lin2) มาค่ะ


 


ตัดสินใจในเวลาอันสั้นแล้วตอนเย็นอีกวันก็ไปกับกลุ่มนักเรียนจีนที่นี่เลย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเห็นประกาศโฆษณาใต้ตึกเรียนก็ไม่สนใจ เพราะเคยรู้มาว่าเที่ยวเมืองจีนในราคาถูกมักได้ไปสถานที่ไม่ค่อยดีนัก พูดง่ายๆว่าโดนหลอกด้วยราคาค่าทัวร์แสนถูก (ทริปนี้ทุกคนเสียคนละ 500 หยวนเองค่ะ) แต่หลังจากคุยกับเพื่อนเวียดนามที่บังเอิญเป็นเพื่อนกับนักเรียนจีนคนนำทัวร์คราวนี้ เขาการันตีนิสัยใจคอ รวมถึงความปลอดภัยของสถานที่ อีกทั้งยังมีเพื่อนในห้องเรียนเดียวกับฉันไปด้วยอีกสามคน ถ้าทริปนี้ไม่ได้เรื่อง อย่างน้อยฉันก็ยังมีเพื่อนไว้คุยไว้บ่น อีกอย่างเค้าว่าหน้าหนาวอากาศที่กุ้ยหลินดี๊ดี เอาน่า ไปวันศุกร์เย็นกลับวันจันทร์เช้า ไม่เสียเวลาเรียนก็น่าจะลองดู ฉันเลยตอบตกลงกับเพื่อนว่าไป คราวนี้เที่ยวมันทั้งๆที่เป็นหวัดอ่วมอยู่นี่แหละ


 


031106  วันศุกร์


 


เวลาสองทุ่มเราทั้งหมดนัดกันขึ้นรถบัสปรับอากาศตรงหน้าธนาคารข้างหอพักที่ฉันอยู่  พวกเรานักเรียนต่างชาติได้ขึ้นรถทีหลัง (ทริปนี้มีเด็กนักเรียนต่างชาติแค่เก้าคนเอง เด็กจีนร่วมสี่สิบกว่าคน) ตอนออกเดินทาง หัวหน้าทัวร์บอกว่าพรุ่งนี้เช้าราวหกโมงก็จะถึงเมืองหยางซั่ว (阳朔  yang2 shuo4) ที่กุ้ยหลิน ซึ่งเป็นจุดหมายของการเดินทางครั้งนี้


 


ตอนอยู่บนรถมีการแนะนำตัวพวกเราคร่าวๆ เป็นภาษาอังกฤษโดยเพื่อนฝรั่งเศสสาวสวยที่เรียนห้องเดียวกับฉัน เป็นที่น่าสังเกตว่าเพื่อนฝรั่งเศส (ผมสีทอง) กับเพื่อนญี่ปุ่นอีกคนจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากนักเรียนจีน ส่วนตัวฉันเองพวกเขาจะรู้แค่ว่ามีเด็กไทยมาด้วยหนึ่งคนและพอเห็นหน้าว่าเป็นฉันทีหลัง ก็จะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่คิดว่าเป็นคนไทยเลย นึกว่าเป็นคนกวางตุ้งโดยกำเนิดด้วยซ้ำ (คนกวางตุ้งสวยไหมคะ ใครช่วยบอกที) และยังหยอดแถมท้ายอีกหลายทีด้วยว่า "เธอพูดภาษาจีนได้ดี สำเนียงและเสียงชัดเจนยังกับคนจีนเลยนะจ๊ะ" (เอ่อ ไม่เชื่อหรอกจ้ะ คนจีนขี้ชมเป็นมารยาทมากๆ ฉันเจอมาบ่อยแล้ว บางทียังไม่ได้พูดเลย แค่พอรู้ว่าเราไม่ใช่คนจีนก็ชมแล้ว ฉันก็เฮ้ย ยังไม่ได้ฟังเลยชมได้ไงเนี่ย)


 


รายละเอียดการเดินทางมีการพูดเป็นภาษาจีนก่อน แล้วมีการถามพวกเราว่ารู้เรื่องไหม จากนั้นก็พูดเป็นภาษาอังกฤษอีกที พวกเรารู้แผนการเดินทางคร่าวๆ กันมาล่วงหน้าแล้วจากกำหนดการที่เขาให้มาก่อนหน้านั้น พอจบการแนะนำตัวและคุยเล่นนิดหน่อยคณะทัวร์ก็พร้อมใจกันนอน แต่ไม่หลับหรอกค่ะ เพราะคุณคนขับ ขับรถแบบกลัวผู้โดยสารหลับแล้วตัวเองไม่มีคนตื่นเป็นเพื่อน ทั้งเหยียบเบรกศีรษะแทบคะมำ ขับเร็วแต่เลี้ยวโฉบไปเฉี่ยวมาได้อย่างคล่องแคล่วน่าชื่นชม สะพานหรือทางขรุขระก็บ่ยั่น ไม่มีการลดความเร็วให้เสียเวลา แรกๆ คนนั่งข้างหลังรถอย่างเด็กต่างชาติก็หัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจ พอง่วงขึ้นมาจริงๆแล้วนอนไม่ได้ทีนี้ก็ฮาไม่ออก (มารู้ตอนหลังว่าเด็กจีนก็บ่นนอนไม่ได้เหมือนกัน) 


 


มีตอนหนึ่งรถจอดเพื่อให้ลงไปเข้าห้องน้ำ (รู้สึกจะเป็นห้องน้ำข้างปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง) ฉันลงไปกะจะเข้าสักหน่อย ก็แปลกใจว่าทำไมมันมืดจัง ไม่มีไฟเปิดหน้าห้องน้ำเลย ตอนนั้นคิดว่าสงสัยไฟดับ เลยมืดทั้งห้องน้ำชายห้องน้ำหญิง แถมบรรยากาศก็น่ากลัวอย่างกับตอนเราดูรายการโทรทัศน์ของบ้านเราที่ชอบพาไปพิสูจน์เรื่องวิญญาณในสถานที่ชวนขนหัวลุก นี่ถ้าไม่มีคนยืนรอเข้าห้องน้ำเป็นแถวยาวฉันคงไม่กล้าเดินเข้าไปดูข้างในว่าเป็นยังไง


 


ไอ๊หยา! ลืมไปสนิทเลยว่าที่นี่คือเมืองจีนซึ่งโด่งดังเรื่องห้องน้ำนี่นา  ข้างในก็ไม่มีไฟค่ะ แต่ไม่เป็นไรสาวๆ ต่างหัวใสใช้ไฟจากโทรศัพท์มือถือตัวเองเปิดไปด้วยเวลาเก็บดอกไม้ในนั้น แต่ที่หนักกว่าคือมันไม่มีประตูนี่สิ มีแต่กำแพงกั้นห้องฉันห้องเธอสูงระดับถ้ายืนขึ้นก็จะอยู่เลยเข่าขึ้นมานิดหน่อย บรรยากาศโดยรอบตอนนี้ครึกครื้นไปด้วยสาวๆ ที่กำลังทำธุระกันอยู่


 


ฉันเดินเหวอผสมอารมณ์อยากจะขำนิดๆ ออกมาบอกข่าวดีแก่เพื่อนฝรั่งเศสสองคนด้วยเสียงดัง กระชับและชัดเจนว่า "ไม่มีประตู!" สิ้นคำฉันพูดเพื่อนทั้งสองนางร้องแว้กออกมาทีหนึ่งแล้วพากันเดินไปดูให้เห็นกับตา กลับออกมาบอกเอาไงดีล่ะ เธอเข้าได้ไหม หรือจะรอคนเข้าหมดก่อนแล้วเราค่อยเข้าทีละคน ไอ้ฉันยังไม่เคยเข้าห้องน้ำแบบนี้ตั้งแต่มาเมืองจีนเลยลังเล อยากลองก็อยาก แต่คุยไปคุยมา สุดท้ายต่างก็ทำใจเข้าไปใช้บริการไม่ได้ เมื่อเป็นเหมือนกันอย่างนี้ก็เลยต่างคนต่างอั้น แล้วเพื่อนฉันก็เดินไปห้องน้ำชายที่ว่างอยู่เพื่อถ่ายรูปเก็บไว้ให้บุพการีที่ฝรั่งเศสดูตอนกลับประเทศ


 


041106 วันเสาร์


 


หลับๆ ตื่นๆ รวมทั้งไอเพราะไข้หวัดไปตลอดทางจนในรถเปิดไฟอีกทีตอนถึงที่หมายราวๆ หกโมงเช้า ข้างนอกยังมืดอยู่เลย อากาศนอกรถก็หนาวกว่าเดิมจนเสื้อกันหนาวตัวที่ฉันใส่อยู่แทบช่วยอะไรไม่ได้ ฉันเดินตัวสั่นปากสั่นไปลงเรือที่รอพวกเราอยู่ จากนั้นเรือก็แล่นออกไป


 


ในเรือยังหนาวขนาดนี้แล้วนอกเรือจะขนาดไหนกัน ฉันคิดในใจ แต่ต่อมาก็คิดได้ว่ามาถึงที่แล้วไม่ออกไปดูให้เห็นกับตาตัวเองที่เค้าว่าสวยนักหนาก็ดูจะเสียเที่ยวไปหน่อย ว่าแล้วก็เดินออกไปนอกเรือรับลมหนาวยะเยือกกับทิวทัศน์ตอนเช้ามืด ถึงจะยังเห็นไม่ชัด แต่กุ้ยหลินเวลาสลัวๆ อย่างนี้ก็ยังสวยประทับใจ อากาศเย็นสดชื่น เงียบสงบดีจริงๆ


 



 



 


ฟ้าเริ่มสว่าง เห็นน้ำใสแจ๋วชัดเจน พระอาทิตย์เริ่มทอแสงขึ้นทางหลังภูเขา ฉันกดชัตเตอร์ลงกล้องที่พกมารวมทั้งเก็บภาพนั้นบันทึกไว้ในสมอง ก็บ่อยที่ไหนกันจะได้มาเห็นอะไรงามๆ แบบนี้ จากนั้นก็เดินร่อนไปรอบเรือ ดูวิวจากมุมโน้นมุมนี้ ถ่ายรูปเพื่อนๆบ้าง ถ่ายรูปคุณยายกับชีวิตบนเรือ แล้วก็ปีนขึ้นไปบนหลังคาเรือเพื่อสูดอากาศจากที่ที่ฉันรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้กับภูเขาและท้องฟ้าขึ้นอีกหน่อย


 



 



 



 



 



 



 



 


เรือมาจอดที่ท่าแห่งหนึ่งเพื่อส่งพวกเราให้เดินไปกินข้าวเช้า ฉันผ่านชนบทเล็กๆที่เงียบสงบและให้ความรู้สึกคุ้นเคยแม้เพิ่งมาถึงครั้งแรก หลังกินอาหารเช้า คณะทัวร์มีกิจกรรมชมธรรมชาติเป็นการย่อยอาหารนั่นคือ ไปปีนเขาเหล่าไจ้ซาน (老寨山 lao3 zhai4 shan1)


 



 



 



 



 


การได้ขึ้นไปบนยอดเขาด้วยขาของตน แต่ละก้าวที่เดินคือการที่ใจได้อยู่กับตัวเอง เดินไปคุยกับตัวเองในใจไปเรื่อย มองนั่นมองนี่หรือถ่ายรูปทิวทัศน์บ้าง หูก็ฟังกลุ่มเด็กจีนตะโกนร้องเพลงกัน ตอนแรกฉันกำลังใจเปี่ยมล้น เดินโดยไม่มีหยุดพักเหมือนคนอื่น แต่สักครึ่งชั่วโมงผ่านไป ใจก็เริ่มคิด "เมื่อไหร่จะถึงสักทีเนี่ย เหนื่อยแล้วนะ" ตอนนี้เพื่อนคนอื่นในทริปก็เริ่มออกอาการ บ้างเดินช้าลง บ้างก็หยุดพัก ฉันได้ยินเสียงเพื่อนๆ ต่างพูดให้กำลังใจกันและกันเป็นระยะๆ "จะถึงแล้ว" "พยายามหน่อย" "สู้ๆ" ได้ยินเข้าอย่างนี้ใจอิฉันก็สะเทือน ไพล่ไปคิดถึงอาจารย์ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในชุมนุมกีฬาบ้าพลังของฉัน ตอนที่เราซ้อมแล้วเหนื่อยแบบจะขาดใจให้ได้ จะมีเสียงตะโกนบอกให้เราอดทนและสู้ต่อเสมอ


 


ในที่สุดก็ได้ขึ้นมาถึงยอดเขาแล้ว อากาศดี พื้นที่ข้างล่างกว้างสุดลูกหูลูกตา แต่มองจากบนนี้ดูเล็กนิดเดียว เรานั่งพักและคุยกันจนหายเหนื่อยก็เดินลงมา


 



 



 


หลังเก็บสัมภาระเข้าห้องพักซึ่งอยู่ติดภูเขาแล้ว กินข้าวเที่ยงเสร็จพวกเราก็ออกเดินทางต่อมาที่ถนนซีเจีย (西街 xi1 jie1) หรือ West Street แหล่งขายสินค้าหลากประเภท ทั้งของที่ระลึกต่างๆ ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ภาพวาด เสื้อผ้า กระเป๋าก๊อปยี่ห้อดังๆ หรือของแฮนเมดมากมาย ยังมีงานตัดกระดาษ งานวาด งานปั้นให้ลูกค้าไปนั่งเป็นแบบด้วยตัวเอง ราคาสินค้าที่นี่จะตั้งไว้สูงเพื่อให้คนซื้อต่อราคากันแบบนี่ถ้าไม่ใช่ซื้อที่เมืองจีนอาจเรียกได้ว่าต่อแบบไม่ไว้หน้าคนขาย คนที่ต่อราคาได้แล้วซื้อมาจะบอกคนอื่นด้วยความภูมิใจว่าตัวเองซื้อได้ราคาถูก สักพักจะรู้สึกเสียหน้าเพราะมีเพื่อนคนจีนบอกทีหลังว่ายังแพงอยู่ดีหรือไปซื้อที่อื่นได้ถูกกว่านี้


 


ฉันซื้อของที่นี่ได้น้อยมาก เพราะเวลาต่อราคาแม่ค้า ฉันจะเรียกราคาที่คิดว่ามันควรจะเป็น ซึ่งมันห่างไกลมากจากราคาแรกที่คนขายตั้งไว้ มีร้านหนึ่งขายที่ห้อยโทรศัพท์ที่ทำมาจากถั่วแดงอันเล็กๆ มีเขียนอักษรจีนแปลเป็นความหมายดีๆ กะว่าจะซื้อมาฝากเพื่อนๆญาติๆ คนขายบอกว่าอันละสิบหยวน คูณแล้วอันละห้าสิบบาทมันแพงเกินไป ฉันบอกซื้อสิบอันขายสิบหยวนได้ไหม (ต้นทุนน่าจะถูก มันควรจะอันละหยวนเดียวหรือห้าบาทได้ไม่ใช่เหรอ) คนขายดูจะโมโหขึ้นมาแถมลูกค้าจีนคนอื่นหันมามองหน้าฉันแบบนี่กล้าต่อขนาดนี้เลยเหรอ สุดท้ายก็เลยไม่ได้ซื้อของนั้นกลับมา ไม่เป็นไรฉันว่าเดี๋ยวอีกหน่อยที่เมืองไทยอาจมีนำเข้ามาขายก็ได้


 



 



 



 



 


เดินจนเย็น ชิงไหวชิงพริบต่อราคากันสนุกสนานเสร็จก็กินข้าวเย็น ค่ำๆคนนำทัวร์พาพวกเราไปดูการแสดงแสงสีเสียงกลางแม่น้ำที่หลิวซันเจี่ย (刘三姐 liu2 san1 jie3) กรุ๊ปเราไม่มี่ที่นั่งริมแม่น้ำต้องเดินเลาะภูเขาขึ้นไปยืนเบียดกับคนอีกเพียบเพื่อดูการแสดง เสียดายตอนนั้นกล้องฉันแบตเตอร์รี่หมดซะก่อนเลยไม่ได้ถ่ายรูปไว้ กว่าจะกลับห้องพักกันคืนนั้นก็ดึกดื่นเห็นจะได้


 


(ตามต่อตอนหน้านะคะ)