ประเทศสเปน...บังคับให้ทุกอาคารใหม่ต้องติดแผงโซลาร์เซลล์ แต่ไทย...มุ่งหาถ่านหินและนิวเคลียร์ (ฮาย!)
คอลัมน์/ชุมชน
ก่อนอื่น ผมขอโทษที่ต้องตั้งชื่อบทความนี้ยาวเป็นพิเศษ ไม่ได้ตั้งใจจะให้ยาวเหมือนชื่อเต็มของ คปค. หรอกครับ แต่ในยุคที่ผู้คนในสังคมมีเวลาน้อยลง การอ่านแต่เพียงชื่อบทความจะทำให้ผู้อ่านสามารถตัดสินใจได้ง่ายว่าจะเลือกอ่านรายละเอียดต่อไปหรือไม่
สำหรับคำว่า ฮาย! ในวงเล็บนั้นเป็นเสียงถอนหายใจว่า ผมรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับความคิดที่ล้าหลังและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของกลุ่มคนในรัฐบาลไทยและผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายพลังงานมาตลอด จะไม่ให้เหนื่อยได้อย่างไรในเมื่อประเทศอื่นเขามีแต่ข่าวดีๆ แต่ประเทศของเรากลับมีแต่สิ่งตรงกันข้าม
ผมขอทบทวนเรื่องในบ้านเราก่อน แล้วจะตามด้วยข่าวดีๆจากรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของประเทศสเปนที่เพิ่งประกาศเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนนี้เอง
เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน รัฐมนตรีพลังงานของไทย ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า กำลังพิจารณาแผนการพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของไทย ที่เรียกย่อๆ ว่า "แผนพีดีพี
แผนนี้จะมีผลในอนาคตนานถึง 15 ปีข้างหน้า คือตั้งแต่ปี 2549 ถึง 2564 สาระสำคัญของแผนดังกล่าวก็คือการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่จำนวนประมาณ 10,570 เมกกะวัตต์ โดยจะเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงอย่างละ 40% รวมเป็น 80% ที่เหลืออีก 20% จะเป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ
โปรดสังเกตนะครับว่า ไม่มีที่ว่างให้กับเชื้อเพลิงที่เป็นพลังงานหมุนเวียนเลยแม้แต่นิดเดียว พร้อมๆกันนี้ก็มีการกระพือข่าวการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในสื่อต่างๆติดต่อกันหลายวัน แม้แผนพีดีจะยังไม่มีการกล่าวถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่ก็มีผู้ถือโอกาสนำเสนอเข้ามาเป็นการโยนหินถามทางอยู่บ่อยๆ
ทำไมผมจึงกล่าวว่า แผนพีดีพี 2006 ของไทยเป็นเรื่องล้าหลังและเห็นแก่ประโยชน์ของกลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง
คำตอบมีอยู่ 3 เหตุผลสำคัญที่แยกจากกันไม่ได้ คือ
(1) นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าทั้งถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาโลกร้อน จนก่อให้เกิดภัยพิบัติไปทั่วโลกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งน้ำท่วมและความแห้งแล้ง พายุ แผ่นดินไหว คลื่นความร้อน(ที่ทำให้คนยุโรปเสียชีวิตไป 2-3 หมื่นคนในปี 2546) และการสูญเสียความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
(2) ทั้งถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่ผูกขาดโดยกลุ่มทุนจำนวนน้อยคน ทั้งระดับข้ามชาติ และระดับชาติอย่าง บริษัท ปตท. จำกัด และมีนักวิ่งเต้นและล็อบบี้ต่อนักการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตนอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
(3) การใช้พลังงานจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติมีการจ้างงานจำนวนน้อย เพราะเป็นกิจการที่รวมศูนย์ จึงก่อให้เกิดปัญหาคนตกงานและปัญหาสังคมตามมาเป็นลูกโซ่ ในทางตรงกันข้าม การใช้พลังงานหมุนเวียนซึ่งได้แก่ พลังงานลม แสงอาทิตย์ พลังงานชีวมวล และพลังงานน้ำขนาดเล็ก จะช่วยให้มีการจ้างงานจำนวนมาก รายงานของรัฐบาลประเทศเยอรมนี(ซึ่งเป็นประเทศที่มีการใช้พลังงานลมมากที่สุดในโลก)บอกว่า เฉพาะกิจการกังหันลมเพียงอย่างเดียว มีการจ้างงานถึงกว่า หนึ่งแสนตำแหน่ง รายงานของกลุ่มกรีนพีชระบุว่า อีกประมาณ 10 ปีข้างหน้ากิจการเซลล์แสงอาทิตย์หรือโซลาร์เซลล์ที่ใช้ทำไฟฟ้า จะสามารถจ้างงานได้ถึง 2 ล้านตำแหน่งทั่วโลก
ในปัจจุบันคนไทยเราใช้ไฟฟ้าคิดเป็นมูลค่าประมาณปีละเกือบ 4 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้ประมาณ 47% เป็นค่าเชื้อเพลิง ดังนั้นค่าเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียวจึงตกปีละประมาณเกือบ 2 แสนล้านบาท
ถ้าแผนพีดีพี มีการใช้พลังงานหมุนเวียนรวมกันสัก 10% ก็จะทำให้เงินจำนวน 2 หมื่นล้านบาทกระจายอยู่ในชนบทและมีการจ้างงานจำนวนไม่น้อย ปัญหาความยากจนซึ่งเป็นปัญหาหลักหนึ่งของประเทศก็จะลดลง นี่ยังไม่นับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทำลายสุขภาพของชาวแม่เมาะ รวมทั้งชุมชนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้โรงไฟฟ้าด้วย
อ่านเรื่องล้าหลังของผู้กุมอำนาจในประเทศไทยไปแล้ว ลองมาดูเรื่องดีๆจากประเทศสเปนกันบ้าง
ข่าวรอยเตอร์ (14 พฤศจิกายน 2549) จากกรุงแมดริด ประเทศสเปน รายงานว่า นับแต่เดือนมีนาคม 2550 เป็นต้นไป บ้านทุกหลังที่จะก่อสร้างใหม่ จะต้องติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อนด้วยแสงอาทิตย์ให้ได้อย่างน้อย 30 ถึง 70% ของปริมาณน้ำร้อนที่แต่ละบ้านจำเป็นต้องใช้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานที่
สำหรับอาคารที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย เช่น ศูนย์การค้า โรงพยาบาล จะต้องติดแผงโซลาร์เซลล์ (photovoltaic) เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าตามสัดส่วนที่อาคารเหล่านั้นจำเป็นต้องใช้
รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมา การใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ยังไม่ได้เพิ่มมากเท่าที่ควร ทั้งนี้เป็นเพราะรัฐบาลได้มุ่งอุดหนุนการใช้กังหันลมมากเป็นพิเศษ
กฎระเบียบเรื่องการสร้างอาคารใหม่ อยู่ที่การปรับปรุงระบบฉนวนกันความร้อนความเย็นให้ดีขึ้น และมุ่งการใช้แสงจากธรรมชาติให้มากขึ้น มาตรฐานของอาคารใหม่อยู่ที่การลดการใช้พลังงานในอาคารลงให้ได้ 30 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของอาคารในปัจจุบัน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ลง 40 ถึง 55 เปอร์เซ็นต์
ข่าวชิ้นเดียวกันนี้ได้รายงานว่า ทางบริษัทกิจการก่อสร้างคาดหมายว่า จะทำให้ค่าก่อสร้างสูงขึ้น 8 ถึง 12 เปอร์เซ็นต์ แต่รัฐมนตรีที่เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยบอกว่า ตัวเลขของทางบริษัทก่อสร้างดังกล่าว "ไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง" ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นประมาณ 1% เท่านั้น
ข่าวรอยเตอร์ชิ้นนี้รายงานเพียงเท่านี้ แม้เราจะมีรายละเอียดไม่มากนัก แต่ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างนโยบายของประเทศเรากับประเทศสเปน
อนึ่ง ผมขอเพิ่มข้อมูลจากข่าวชิ้นนี้สักเล็กน้อย ประเทศสเปน เป็นประเทศที่มีการใช้กังหันลมมากเป็นอันดับสองของโลก รองจากประเทศเยอรมนี เฉพาะในปี 2548 เพียงปีเดียว สเปนได้ติดตั้งกังหันลมเพิ่มขึ้นถึง 1,760 เมกกะวัตต์ รวมกำลังติดตั้งจากกังหันลมในสเปนมีจำนวน 10,000 เมกกะวัตต์ หรือประมาณเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณไฟฟ้าสูงสุดที่ประเทศไทยใช้ในช่วงเดือนเมษายนของแต่ละปี
ผมเองไม่ทราบประวัติศาสตร์ของประเทศสเปนเป็นการเฉพาะ แต่ฐานะที่ให้ความสนใจถึงข่าวสาร "การเคลื่อนไหวสีเขียว (green movement)" ในระดับโลก ทำให้ผมพอจะทราบบ้างว่า พลเมืองของประเทศในทวีปยุโรปซึ่งรวมถึงสเปนด้วยต่างให้ความสนใจในปัญหาสิ่งแวดล้อมกันมาก พลเมืองของเขาตื่นรู้และร่วมกันขับเคลื่อนการเมืองภาคประชาชนมาตลอด
การระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในยูเครนเมื่อปี 2529 ได้ทำให้ชาวยุโรปตื่นตัวและเกรงกลัวภัยจากนิวเคลียร์กันมาก พวกเขาจึงได้ติดตามและร่วมผลักดันนโยบายด้านพลังงานมาตลอด ไม่เพียงแต่ในประเทศของตนเองเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการร่วมกันปกป้องโลกที่บอบบางและมีปัญหาสารพัดดังที่กล่าวแล้ว
วัตถุประสงค์ของบทความนี้ จึงไม่ได้อยู่ที่การเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยให้ปรับเปลี่ยนนโยบายพลังงานเท่านั้น แต่เป็นการนำเสนอและเรียกร้องต่อพลเมืองไทยทุกภาคส่วนให้ร่วมกันติดตามและตรวจสอบนโยบายของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดใดก็ตาม ถ้าพลเมืองที่ตื่นรู้ต่างพากันวางเฉยก็จะเป็นเหยื่ออันโอชะก้อนมหึมาให้กับพ่อค้าพลังงานที่แอบอยู่เบื้องหลังรัฐบาลเสมอมา