Skip to main content

เพื่อนอย่าง Elle

คอลัมน์/ชุมชน

วันหนึ่ง ขณะที่เรา (คือหญิงรักหญิง 4 คน) กำลังคุยกันเรื่องการเมือง  พี่คนหนึ่งก็ชี้มาที่ฉันแล้วก็แสดงความเห็นว่า  ฉันเนี่ยเป็น "ทอม" ที่ "เชยมาก" 


 


เอ่อ... อึ้งไปเล็กน้อย  คิดในใจว่านี่มันเกี่ยวกับการเมืองตรงไหน  จริงๆ เรื่องความเชยนี้ก็เป็นเรื่องที่ฉันเองก็อยากจะยอมรับแต่โดยดี  แต่ก็ยังมีความหวังว่าเราจะไม่ได้เชยอย่างเปิดเผยจนคนอื่นเห็นได้ชัดในวงคุยการเมืองเช่นนั้น  หลังจากคุยเสร็จ  ฉันเลยพกความข้องใจรีบกลับไปถามแฟนว่าฉันเชยจริงหรือ  แฟนตอบว่า


 


"อือ... เชยมากๆๆๆๆๆ" (เน้นเสียงตรงมากๆๆๆๆ)   


 


เนี่ยแหละค่ะความน่ารักของเธอ  เป็นคนตรงไปตรงมาอย่างจริงใจเสียจนทำให้ฉันไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้  แม้จะเสีย self เล็กน้อย  แต่ฉันก็ยืดศีรษะที่มีผมทรงเดียวกับเมื่อตอนป. 1 รับความจริง


 


"ใช่แล้วฉันเป็นคนเชย" 


 


ก็ด้วยความที่เป็นคนเชยอย่างนี้แหละค่ะ ทำให้ฉันกับนิตยสาร Elle ไม่เคยได้เจอะเจอกัน  สำหรับฉัน Elle เป็นนิตยสารแฟชั่นสำหรับผู้ญิ้ง ผู้หญิง ที่ฉันเองคงไม่มีวันได้ใส่แน่ในภพภูมินี้  คนอย่างฉันที่ใส่แต่เสื้อผ้าที่เขาให้มา  และมีช่างตัดผมคนเดิมกับเมื่อตอนป .1 (คือคุณแม่ ซึ่งเคยเปิดร้านตัดผมเมื่อ 40 ปีที่แล้ว)  ก็คงไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของ Elle เช่นกัน


 


แต่แล้ววันหนึ่งทางของฉันกับ Elle ก็มาเจอะเจอกันจนได้  ด้วยเรื่องของหญิงรักหญิงนี่แหละ


 


เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนฉันคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า Elle เคยทำสกู๊ปเรื่องหญิงรักหญิงโดยเฉพาะเมื่อหลายปีก่อน ฉันฟังแล้วก็แปลกใจและสนใจว่า ทำไม Elle นิตยสารแฟชั่นกระแสหลักถึงมาทำเรื่องนี้  ไม่กลัวสังคมประณามว่าสร้างค่านิยมไม่ดีหรือไร  เพื่อนใจดีก็เลยบอกว่าเดี๋ยวจะต่อสายให้ได้คุยกับบรรณาธิการอาวุโส  ผู้ที่เริ่มคิดทำสกู๊ปนี้ขึ้นมา  จะได้ถามโดยตรงให้หายข้องใจ  ฉันมองหน้าเพื่อนอย่างงง ๆ  ต่อสายถึงบรรณาธิการเลยเนี่ยนะ  มันพูดเล่นหรือพูดจริงนี่   แต่แล้วคุณเธอก็หยิบโทรศัพท์ต่อสายให้จริง ๆ   เหลือเชื่อมากที่ยัยเพื่อนเชย ๆ เหมือนฉัน (มีกางเกงตัวนึง คุณเธอใส่มาตั้งแต่ ม.4 แล้ว)  ไปรู้จักกับบรรณาธิการอาวุโสของ Elle ได้


 


เสียงที่อยู่ในสายนั้นเป็นเสียงของพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ฟังดูใจดีมาก  พี่อัจฉราวดี  สต็อคมันน์  ได้ช่วยเฉลยข้อข้องใจของฉันเกี่ยวกับการทำสกู๊ปครั้งนั้นว่า  การนำเสนอเรื่องราวใน Elle นั้น  เปรียบไปก็เหมือนกับ Elle เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่บังเอิญเดินไปเจอเรื่องราวอะไรต่างๆ  ในชีวิตเข้าแล้วก็ถ่ายทอดออกมาให้คนอื่นได้รับรู้  ฉบับที่มีสกู๊ปหญิงรักหญิงนั้นก็เช่นกัน  ก็เกิดขึ้นจากการที่พี่อัจฉราวดีได้ไปเจอะเจอเรื่องราวที่ทำให้ได้ฉุกคิดถึงหญิงรักหญิงเข้าเลยอยากนำมาถ่ายทอด 


 


เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งเมื่อแปดปีที่แล้ว  พี่ไปนั่งทานข้าวกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิง  ปรากฏว่านั่งไปนั่งมาก็เห็นว่า อ้าว  เพื่อนทุกคนในที่นั้นเป็นหญิงรักหญิงกันหมด  จุดนี้เลยทำให้หวนกลับไปคิดถึงเพื่อนสมัยมัธยมคนหนึ่งซึ่งเป็นหญิงรักหญิง  สมัยก่อนนั้นไม่มีใครรู้เรื่องหญิงรักหญิงสักเท่าใด  อีกทั้งด้วยความที่อยู่ในโรงเรียนสห  เลยทำให้ไม่มีใครเข้าใจเรื่องการรักผู้หญิงด้วยกันเลย  เพื่อนคนนี้ก็ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร  จนต้องประสบกับปัญหาทางจิตใจอย่างมาก  ในที่สุดก็ทำให้เธอเพี้ยนไป  เรื่องนี้ทำให้พี่ฉุกคิดได้ว่า  ไม่ใช่แค่ในโรงเรียนที่ไม่มีความเข้าใจเรื่องนี้ให้  แม้แต่เวลาที่ทำงานแล้ว  ยังไม่มีใครให้ความรู้ที่ให้ความเข้าใจคนกลุ่มนี้เลย


 


พี่บก.อาวุโส จึงคิดทำสกู๊ปเรื่องนี้ใน Elle  เพื่อนำเสนอเรื่องราวให้ผู้อ่านได้รู้จักและเข้าใจหญิงรักหญิง  โดยเฉพาะสำหรับผู้อ่านที่เป็นหญิงรักหญิงที่กำลังเผชิญกับความไม่เข้าใจตัวเองอยู่  จะได้ทำความรู้จักเท่าทันและคลี่คลายปัญหาในใจ จะได้ไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์เหมือนเพื่อนสมัยมัธยมคนนั้น 


 


แล้วเรื่องนี้ก็ถูกนำเสนอในกองบรรณาธิการ  ซึ่งเป็นธรรมดาที่ต้องมีการอภิปรายกันว่า  เรื่องแต่ละเรื่องนั้นมีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด  พี่อัจฉราวดีให้เหตุผลว่า  เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง  ผู้อ่านของ Elle 100,000 คนทั่วประเทศนั้น  แน่นอนว่าจะต้องมีกลุ่มหญิงรักหญิงอยู่ด้วย  เราจะทิ้งคนกลุ่มนี้ได้อย่างไร  เราน่าจะให้ Elle เป็นสื่อกลางที่ทำให้เขาได้คลี่คลายตัวเองมากกว่า  ด้วยเหตุผลที่ว่านี้ทำให้กองบรรณาธิการอนุมัติให้ทำสกู๊ปเรื่องนี้ได้


 


ขณะที่ทำสกู๊ปเรื่องนี้ก็มีเสียงตั้งคำถามจากคนรอบข้างที่ไม่เข้าใจว่าจะทำไปทำไม  หรือบอกให้เลิกทำเถอะ  แต่หลังจากนิตยสารวางแผง  ปรากฏว่ากลุ่มหญิงรักหญิงนั้นให้การตอบรับดีมาก  หลายคนบอกว่าชอบมาก 


 


พี่ผู้ใจดีคนนี้ได้กรุณาแฟกซ์เรื่องที่มีอายุแปดปีแล้วนั้นมาให้ฉันได้อ่าน  หัวข้อสกู๊ปคือ  "หญิงรักหญิง รักจริงไม่แบ่งเพศ"  เนื้อเรื่องมีตั้งแต่บทสัมภาษณ์ผู้ที่เป็นหญิงรักหญิง ในแง่มุมชีวิตด้านต่าง ๆ  มีคำยืนยันจากแพทย์ว่าคนรักเพศเดียวกันนั้นไม่ได้ผิดปกติ  เสริมด้วยมุมมองจากทางด้านศาสนาที่เน้นความเข้าใจในมนุษย์ด้วยกัน ฯลฯ ที่ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนพยายามจะเข้าใจและเสนอให้ผู้อ่านเข้าใจชีวิตของหญิงรักหญิงจริง ๆ  เนื้อหาดูแล้วเป็นความเข้าใจที่ล้ำสมัยมากเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่เรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมา  อ่านแล้วก็น่าชื่นใจที่มีคนพยายามเข้าใจเราอย่างที่เราเป็น  ยิ่งรับรู้เรื่องราวเบื้องหลังสกู๊ปนี้ว่าคือความเห็นอกเห็นใจที่อยากจะให้หญิงรักหญิงสามารถคลี่คลายความทุกข์จากความไม่เข้าใจในตัวเองและคนรอบข้างได้  ยิ่งทำให้ฉันชื่นชมคนคิดและคนเขียนสกู๊ปนี้มากขึ้น


 


ความเข้าอกเข้าใจจาก Elle เช่นนี้ล่ะค่ะ  ทำให้ฉันรู้สึกเหมือน Elle เป็นเพื่อนคนหนึ่ง  ถ้าจะเปรียบกับเพื่อนจริง ๆ Elle ก็คงเหมือนกับบรรดาเพื่อนที่มีวิถีชีวิตที่ต่างจากฉัน  อาจจะเป็นเพื่อนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจ  แต่งตัวตามสมัย  ผมสีแปลก ๆ ทุกครั้งที่เจอกัน  แต่ว่าเพื่อนเหล่านี้รับการรักผู้หญิงของฉันได้และพยายามจะเข้าอกเข้าใจฉันด้วย 


 


เมื่อเร็ว ๆ นี้มีเพื่อนอย่างนี้คนหนึ่ง  โทรมาคุยกับฉันหลังจากที่ห่างหายกันไปหลายปี  เธอถามถึงเรื่องแฟน  ฉันก็เลยรายงานเรื่องราวความรักให้ฟัง  เพื่อนฟังแล้วก็บอกว่า  "แกมีความสุขก็ดีแล้ว"  คำสั้น ๆ ง่าย ๆ เท่านี้เองล่ะค่ะ  ที่ทำให้ฉันรู้สึกซึ้งใจ  มันแสดงว่าสิ่งที่เพื่อนห่วงใยคือความสุขของเรา  ไม่ใช่การทำตัวให้ถูกต้องตามกรอบของหญิงชายที่ฉันคงไม่มีวันทำได้ และจะเป็นทุกข์มากด้วยถ้าต้องทำ 


 


ชีวิตการเป็นคนรักเพศเดียวกันนี่  บางทีมันทำให้เราคาดหวังการยอมรับจากคนรอบข้างน้อยกว่าคนอื่น ๆ  เพราะเรารู้ค่ะว่าไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะยอมรับเราได้  คาดหวังไปก็มีแต่จะผิดหวังเปล่า ๆ แต่เมื่อใดที่มีใครสักคนให้ความห่วงใยและความเข้าใจ  แม้จะแสดงออกมาเพียงง่าย ๆ เช่นนี้  มันเหมือนเป็นการเติมแรงใจให้ชีวิต  ให้เราเดินหรือกระโดดโลดเต้นต่อไปได้


 


และถ้าคุณให้ความใส่ใจเราเช่นนั้น  แน่นอนค่ะว่าคุณก็จะได้รับความใส่ใจตอบจากเราด้วยเช่นกัน  ดูอย่างฉันสิคะ ถึงฉันจะยังคงยึดมั่นในความเชยไม่เคยเปลี่ยน  แต่ตอนนี้เวลาไปดูหนังสือบนแผง  ฉันก็จะชำเลืองดูนิตยสารแฟชั่นนำสมัยอย่าง  Elle ว่าเธอจะมีเรื่องราวอะไรดีๆ มานำเสนอบ้าง  เหมือนกับชำเลืองไปทักทายเพื่อนคนนึง   ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยจะสนใจเธอแต่อย่างใด