Skip to main content

นวมทอง ไพรวัลย์ : ประจักษ์พยานต้านรัฐประหาร

คอลัมน์/ชุมชน

ในฐานะที่ผมไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารและเผด็จการทหาร หากไม่เขียนถึงชีวิต และความตายของลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ก็คงจะกระไรอยู่ เพราะชีวิตและความตายของลุงนวมทองนั้นเป็นรูปธรรมที่เป็นประจักษ์พยานชัดเจนของการต่อต้านอำนาจที่ปราศจากธรรม และปราศจากความชอบธรรม เป็นอำนาจที่ไม่นำไปสู่การสร้างสังคมที่ดีกว่าไม่ว่าจะมองจากแง่มุมใดของการรัฐประหาร


 


การฆ่าตัวตายเป็นทางเลือกสุดท้ายของมนุษย์ ในการเผชิญหน้ากับวิกฤติปัญหาที่ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยวิธีธรรมดา (แม้ว่าจะไม่เห็นด้วย เราก็ต้องทำความเข้าใจและเคารพต่อทางเลือกนี้) การฆ่าตัวตายเป็นบาปในทางศาสนา  แต่การมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมานก็เป็นบาปเช่นเดียวกัน ? และลุงนวมทองก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ภายใต้เผด็จการ คปค./คมช.


 


แน่นอนว่า คงไม่ใครสามารถแก้ปัญหารัฐประหารได้ด้วยการหมุนเวลาย้อนกลับไปตั้งต้นกันใหม่ก่อนหน้า แต่ปัญหาที่ลุงนวมทอง ไพรวัลย์  แก้ไม่ตก และทำใจไม่ได้อยู่ที่ความพยายามสืบทอดอำนาจของทหารต่างหาก โดยทหารกลุ่มนี้อ้างซ้ำซากเรื่องอุดมการณ์ อ้างความสมานฉันท์ อ้างโน่น อ้างนี่ แต่แท้จริง แม้แต่เด็กอมมือก็รู้ว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องอุดมการณ์หรือความสมานฉันท์ดังที่กล่าวอ้างแต่ประการใด


 


ลุงนวมทอง ตระหนักในเรื่องนี้ดีอย่างยิ่งด้วยความที่ตนเองก็เคยเป็นทหารมาก่อน ลุงนวมทองได้พูดไว้ชัดเจนว่า


 


"เพราะเขาเป็นทหารจึงไม่รู้จักคำว่าประชาธิปไตย"  ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องที่สุด


 


จะว่าไป ปัญหาคับอกของลุงนวมทอง  ไพรวัลย์ ก็เป็นปัญหาคับใจของใครหลายคนในตอนนี้ เพื่อนคนหนึ่งบ่นให้ฟังหลังรัฐประหารว่า "รู้สึกเหมือนใจสลาย" เพื่อนยังรำพึงต่อไปว่าเขาหมดหวังแล้วกับประชาธิปไตย และว่าเขารู้สึกท้อแท้ใจอย่างมากเพราะว่าเขาเข้าร่วมต่อสู้ทางการเมืองเพื่อสร้างประชาธิปไตยมาโดยตลอดแม้ว่าเขาจะโนเนมก็ตาม แต่แล้วทุกอย่างก็พังครืนลงอย่างง่ายดาย ง่ายดายเหลือเกินโดยน้ำมือของพวกที่ไม่เคยร่วมสร้างและไม่เห็นค่าของประชาธิปไตย


 


อย่างไรก็ตาม เพื่อนคนนี้ก็ไม่คิดจะฆ่าตัวตาย แต่เขาตั้งใจหันหลังให้กับการเมืองและไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในทุกกรณี


 


ขอนอกเรื่องนิดหนึ่งว่าหากเห็นว่าทักษิณ  ชินวัตร เป็นปัญหาของประเทศไทยแล้ว ที่จริงแก้ปัญหานี้ได้ง่ายๆ ด้วยการให้คณะทหารพากันไปกราบเท้าทักษิณ ชินวัตร เพื่อขอให้ท่านลงจากตำแหน่ง ดังที่นายกฯ สุรยุทธ์  จุลานนท์ จะกราบเท้าผู้ก่อการร้ายที่ภาคใต้ คปค. ไม่จำเป็นต้องลงทุนชนิดได้ไม่คุ้มเสีย (สำหรับประเทศ) ด้วยการยึดอำนาจให้เมื่อยตุ้ม


 


……….


 


จากเทปที่ให้สัมภาษณ์เชื่อได้ว่าลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วก่อนฆ่าตัวตาย  ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ กล่าวว่า  "ตนมีสติดี สมองไม่เลอะเลือนและยังมีชีวิตอยู่ได้อีกนาน"


 


นอกจากแรงกระตุ้นจากความปากพล่อยของทหารนายหนึ่งแล้ว คงเป็นความรู้สึกทำนองเดียวกันคือรู้สึกเหมือน "หัวใจสลาย"


 


ความรู้สึกเหมือน "หัวใจสลาย" ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแต่ในความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่มันเกิดขึ้นได้กับความรักแบบอื่นๆ ด้วย  มันสามารถเกิดขึ้นได้กับคนที่รักมาตุภูมิและเห็น มาตุภูมิถูกย่ำยี  มันเกิดขึ้นได้กับคนที่รักชาติ และในกรณีของลุงนวมทองนั้นเป็นความรักที่มีต่อประชาธิปไตย


 


อันที่จริง ทหารน่าจะเข้าใจเรื่องอุดมการณ์ทำนองนี้ได้ดี เพราะทหารถูกปลูกฝังให้ "พลีชีพ เพื่อชาติ" หรือ "รักชาติ ยิ่งชีพ" และดังนั้นนายทหารจึงไม่ควรไปดูถูกคนอื่นเรื่องการตายเพื่ออุดมการณ์


 


ความตายของลุงนวมทอง ไพรวัลย์  เป็นตัวอย่างที่ดี ในการบอกให้คณะรัฐประหารรู้ว่าการยึดอำนาจนั้นไม่อาจสร้างความสมานฉันท์ได้ แต่มันนำไปสู่ความขัดแย้งชนิดที่ฝังลึกและไม่อาจแก้ไขย้อนคืนได้อีก นี่ยังไม่นับรวมถึงปัญหาภาคใต้ซึ่งทหารและรัฐบาลเถื่อนไม่อาจลดดีกรีความรุนแรงลงได้เลย ตรงกันข้าม ผู้ก่อการร้ายภาคใต้ สามารถใช้จังหวะที่เกิด "ช่องว่าง" ทางการเมืองโจมตีหนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้นอีก ในความเห็นของผม จะมากจะน้อยความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นที่จังหวัดชายแดนใต้เป็นผลมาจากรัฐประหาร ที่ทำให้นโยบายการแก้ปัญหาชะงักงันไปชั่วคราว และเชื่อว่าถ้า คมช.  ยังไม่มีท่าทีว่าจะคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็ว และยังคงคิดอย่างมักง่ายว่าประเทศไทยเป็นของพวกตนเอง  ก็อาจจะมี "ชีวิต" ที่ต้องเสียสังเวยอีก หลังจากที่ลุงนวมทองเป็น "อิฐก้อนแรก" ที่ถมทางสร้างประชาธิปไตยไปแล้ว


 


คำกล่าวก่อนลาของ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ เป็นคำกล่าวกินใจ ตรงไปตรงมา เกี่ยวกับรัฐประหารในหนนี้ ลุงนวมทอง บอกว่า


 


"สุดท้ายนี้เป็นห่วงและสงสารภรรยามากที่สุด แต่อย่างไรเสียทุกคนก็ต้องจากกันไม่ช้าก็เร็ว แต่เพื่อประเทศชาติและประชาชนแล้ว ตนต้องทำ และหวังว่าชาติหน้าเกิดมาไม่ต้องเจอการปฏิวัติอีก สุดท้ายขอร้องเพลงปลอบใจลูกเมียตามประสานักร้องเก่า ในเพลงลูกแก้วเมียขวัญ ของสุรพล สมบัติเจริญ และขอขอบคุณทุกคนที่ตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมกับขอตั้งฉายาให้คณะปฏิวัติชุดนี้ว่า    ‘เผด็จการปากพล่อย คปค.ตอแหล’ "