Skip to main content

รอยยิ้มของเด็กชายกับตู้เกมรถแข่ง

คอลัมน์/ชุมชน


 


พลบค่ำของวันหนึ่ง วันที่ผมต้องเดินทางกลับเชียงใหม่ ภายหลังจากการทำธุระ ประชุม งานเยาวชนที่กรุงเทพฯ โอกาสและเวลาที่จะเดินทางกลับเชียงใหม่ โดยรถทัวร์กำลังจะมาถึงในเวลาอันใกล้


 


เที่ยว 1 ทุ่มครึ่งคือเวลาที่รถจะเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาหมอชิต ซึ่งปัจจุบันยังเป็นแหล่งรวมคนเดินทาง เป็นจุดศูนย์กลางของผู้คนที่สัญจรไปมาระหว่างกรุงเทพฯ กับปลายทาง ต้นทาง หัวเมืองและตัวจังหวัดต่างๆ


 


ผมเดินทางจากสถานที่จัดประชุมมาถึงที่หมอชิตประมาณหกโมงครึ่ง หมอชิตในวันนี้ไม่ค่อยมีคนมากเท่าไหร่ เพราะเป็นวันพฤหัสบดี วันธรรมดาไม่ค่อยมีฝูงชนมากไปกว่าวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุดตามเทศกาล ต่างๆ 


 


ช่วงเวลาระหว่างที่มาถึงหมอชิต ก็เดินเข้าไปภายในตัวอาคารผู้โดยสารขาออก และหาซื้อหนังสือพิมพ์ และเดินเรียบทางเดิน ไปๆ มา ๆ เพื่อรอให้ใกล้ที่จะถึงเวลารถทัวร์โดยสารออกจากสถานีขนส่ง


 


ในขณะที่เดินไปมา มีเสียงต่างๆ มากมายเข้ามาในโสตประสาท ทั้งผู้คนที่พูดคุยกัน เสียงประชาสัมพันธ์ตามลำโพงในอาคาร และเสียงผู้ประกาศข่าวทางโทรทัศน์


 


คงจะเป็นเพราะวันที่ 25 พฤศจิกายน เป็นวันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี จึงทำให้เสียงของผู้ประกาศข่าวในโทรทัศน์ นำเสนอข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ไม่ว่าจะเป็นสถิติเด็กที่ถูกละเมิดสิทธิ สถิติผู้หญิงที่ถูกลวนลามข่มขืนกระทำชำเรา ฯลฯ


 


ข้อมูล ข่าวสารความรุนแรงที่ส่งเสียงจากผู้ประกาศข่าวทำให้ผู้คนที่เดินไปๆ มาๆ บริเวณภายในตัวอาคาร หยุดฟังชั่วครู่ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่หยุด ยืนรับฟังและจ้องมองไปยังจอโทรทัศน์ที่ตั้งหน้าร้านค้าร้านหนึ่ง ความรู้สึกแวบแรกของผมที่ได้รับทราบข่าวสารนี้ ก็หวังแต่เพียงว่าความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้น น่าจะลดลงบ้าง แต่ในรายการโทรทัศน์กลับมีสถิติความรุนแรงที่มากขึ้น


 


เป็นไปได้ไหมว่า ผู้คนรู้ถึงสิทธิและความเป็นส่วนตัวของตนมากขึ้น เมื่อมีการกระทำความรุนแรงจึงมีการแจ้งหรือช่วยกันบอกต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงทำให้สถิติเหล่านี้มีการพูดจาอย่างเปิดเผย และตีแผ่ออกมาสู่การรับรู้ของสาธารณชนในวงกว้าง


 


หากเราทุกคนหวังให้ความรุนแรงในสังคมลดลง ก็ต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน เช่น เมื่อฟังข้อมูลข่าวสารในโทรทัศน์แล้ว เราก็ไม่ใช่แค่รับฟังแล้วรู้อย่างเดียว หากแต่เราอาจจะต้องปรับพฤติกรรมของตัวเองด้วย ทั้งทางร่างกายและจิตใจของเราที่จะไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น (และน่าจะรวมถึงความรุนแรงกับตัวเองด้วย)


 


เมื่อรู้สึกนึกคิด คล้อยตามข้อมูลที่ได้รับฟังแล้ว พลันที่ได้ชำเรืองมองยังนาฬิกาก็พบว่าอีกประมาณ 20 นาที ก็จะถึงเวลาที่ต้องไปยังชานชาลารถโดยสาร เพื่อรอขึ้นรถ, หลังจากยืนนิ่งเหม่อลอยอยู่ชั่วขณะ ผมหันหลังกลับให้โทรทัศน์และเดินไปยังทางออกตัวอาคาร


 


เมื่อใกล้จะถึงทางออก ด้านขวามือ ก็มีตู้เกมต่างๆ อยู่ระหว่างทาง ทั้งเกมเตะฟุตบอล เกมจับผิดภาพ เกมรถแข่ง เมื่อผมเดินใกล้จะผ่านเครื่องเล่นเหล่านี้ ก็สังเกตว่ามี เด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งนั่งเล่นเครื่องเล่นเกมรถแข่งอยู่ แต่เมื่อจ้องมองดูอย่างชัดๆ แล้ว ก็เห็นว่าน้องชายคนนี้ยังไม่ได้หยอดเหรียญ เริ่มเล่นเกมเลย


 


วัยประมาณไม่เกิน 5 ขวบ น่าจะเป็นอายุของเด็กชายผู้นี้ ผมยืนมองเด็กชายอยู่ชั่วครู่ก็ล้วงเหรียญสิบจากกระเป๋ากางเกง หยอดลงไปในรูหยอดเหรียญเพื่อจะได้เริ่มเล่นเกมรถแข่งได้


 


หลังจากหยอดเหรียญแล้ว เด็กชาย ซึ่งตัวเล็กและไม่สามารถเอื้อมขามาเหยียบคันเร่งเท้าได้ ก็เริ่มมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่จะได้เล่นเกม ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเพียงแค่จินตนาการขับรถไปมา แต่แล้วเวลาที่เขาจะได้เริ่มเล่นเกมก็มาถึง ผมต้องช่วยขยับเบาะให้ชิดใกล้คันเร่งมากกว่าเดิม และยืนอยู่ข้างๆ เขาเพื่อบอกให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ตามความเร็วและถนนที่แข่งรถ


 


เด็กชายขับรถ ชนไป ชนมาระหว่างสองข้างทางเมื่อรถชน เด็กชายก็ยิ้มและหัวเราะ ผมเองก็หัวเราะและเกาหัวกับความสนุกที่มีต่อกัน ชั่วความคิดนี้ ผมคิดว่า เด็กคนนี้ไม่มีใครดูแลหรือยังไง พ่อแม่ไปไหนทำไมปล่อยให้ลูกมาเล่นอยู่ลำพัง แต่เวลาที่ผมจะได้ยืนมองเด็กชายเล่นเกมก็คงจะมีไม่มากพอ เพราะจะต้องไปที่ชานชาลาแล้ว


 


พ่อ แม่ไปไหนนะ- ผมคิดในใจ เพราะจำต้องไปที่ชานชาลาแล้ว และมีผู้คนมายืนมองอยู่สอง สามคน


"พี่ไปก่อนนะครับ" ผมพูดกับเด็กชายที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร


"ครับ" เด็กชายตอบแล้วยิ้มให้ผม ก่อนหันหน้ากลับไปจ้องมองจอตู้เกม และนั่งเล่นต่อ


 


พลันที่ผมหันหลังให้เด็กชายผู้นี้ ก็มีใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งมองมายังผม แล้วพูดเบา แต่สามารถอ่านสัมผัสของริมฝีปากว่า "ขอบคุณค่ะ" ด้วยใบหน้ามีรอยยิ้มที่มุมปาก และแววตาที่เหน็ดเหนื่อย แล้วผมก็ยิ้มให้เธอก่อนจะเดินกลับมาถ่ายภาพเด็กชายที่นั่งเล่นตู้เกม ก่อนจะเอ่ยขอบคุณผู้หญิงคนดังกล่าวและรีบวิ่งไปยังชานชาลาเร็วรี่


 


ค่ำนี้ ผมบอกกับตัวเองว่าแค่ได้ทำให้เด็กชายคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ได้มีรอยยิ้ม และสนุกกับความหวังที่อยากเล่นเกมได้เป็นจริง รอยยิ้มในใจผมก็เบ่งบานขึ้น แต่ยังมีคำถามต่อตัวเองอีกว่า ได้ทำให้เด็กชายมีรอยยิ้มในวันนี้ แต่อาจบ่มเพาะความรุนแรงจากการ ชน ปะทะของรถในเกม ให้เด็กชายได้เห็น และคุ้นเคย เพราะท่ามกลางสถิติความรุนแรงที่เปิดเผยออกมามากมายขณะนี้ อาจมีความรุนแรงต่างๆ แฝงอยู่รอบตัวเราโดยที่เราไม่รู้เลยแม้แต่น้อย แต่เรากลับซึมซับ สัมผัสเข้ามาทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะทางเกม ทางโทรทัศน์ ทางหนังสือพิมพ์ วิทยุ เป็นต้น


 


จากเสี้ยวนาทีที่เห็นรอยยิ้มของเด็กชายคนนี้ วันข้างหน้ามันอาจแปรเป็นความรุนแรงอย่างหนึ่งได้ในอนาคต ทว่าอีกด้านหนึ่งรอยยิ้มของเขาอาจทำให้เรา, ผู้ใหญ่หลายๆ คนในวันนี้หันมาทำให้เด็กๆ มีความสุขกับชีวิตบ้าง ดีกว่าปล่อยให้ความเหงาหงอย ทุกข์ใจ กลายเป็นระเบิดเวลาบ่มสร้างความรุนแรง ที่รอเวลาปะทุในวันข้างหน้า