Skip to main content

ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้

คอลัมน์/ชุมชน

ที่รักเรารักกันไม่ได้  ร้องโดย เรียม ดาราน้อย


 


ชาตินี้ที่รัก เราคง รักกันไม่ได้
เพราะว่าหัวใจ ของเธอนั้นมีเจ้าของ
ฉันต้องสะอื้น กล้ำกลืนแต่น้ำตานอง
ไม่อาจจะเรียกจะร้อง ให้เธอนั้นมา เคียงใกล้


หัวใจของน้อง ร่ำร้องหาแต่เช้าค่ำ
แสนจะระกำ น้ำตาไม่มีจะไหล
อยากคิดลืมพี่ แต่แล้วก็สุดหัวใจ
อดห้ามหักใจไม่ไหว เพราะว่าหัวใจนั้นเป็นทาสเธอ


**ฉันรักเธอ ยิ่งกว่าใครใคร


เธอจะรู้หรือไม่ ว่าใจฉันมั่นเสมอ


ถึงจะมี ชายอื่นที่ดี กว่าเธอ


ฉันมั่นต่อเธอเสมอ เพราะฉันรักเธอยิ่งนัก
ชาตินี้ที่รัก เราคงรัก กันไม่ได้
เพราะว่าหัวใจ ของเรารักกันยิ่งนัก
เพราะเธอมีคู่ อยู่แล้วเธอ อย่ามารัก
แม้หากชาติหน้ามีรัก ขอเป็นคนรัก คนแรกของเธอ (ซ้ำ**)


ขอเป็นคนรัก คนแรกของเธอ   


 


(ลองร้องคาราโอเกะได้ที่ http://www.yakyaihost.net/kara/kara9/midi912.htm)


           


ผู้เขียนไปได้ฟังเพลงนี่จากนักร้องต้นตำหรับ คุณเรียม ดาราน้อย ที่งานปฐมนิเทศ นักศึกษาภาคพิเศษอีกรุ่นหนึ่ง รุ่นนี้เรียนภาคค่ำ เพิ่งเข้าเมื่อต้นเดือนนี้เอง เพราะคณะของผู้เขียนรับปีละสองครั้ง เทอมแรกรับภาคเสาร์อาทิตย์ เทอมสองรับภาคค่ำ ส่วนภาคปกติเรียนช่วงเวลาราชการ รับสมัครสอบปีละสองครั้งแต่มาเริ่มเรียนเฉพาะเทอมแรก ซึ่งก็ถือว่าเป็นการดีที่มีการเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาของนักศึกษาให้ผู้สอนเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ด้วย ทำให้ชีวิตท้าทายไปได้อีกแบบหนึ่ง


 


กลุ่มนักศึกษาผู้จัดทำเรื่องปฐมนิเทศร่วมกับทางคณะฯ ได้เชิญ คุณเรียม ดาราน้อยมาร้องเพลงในงาน ตอนแรกผู้เขียนก็ผงะ ไม่ใช่เพราะว่ารังเกียจ แต่เกรงว่านักศึกษาที่เป็นเด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จัก กลัวงานจะกร่อย แต่งานก็ไม่กร่อยเพราะว่า มีอย่างอื่นที่คละเคล้ากันไป ทำให้งานดำเนินไปได้ด้วยดี ต้องขอบคุณที่ได้มีการหวนรำลึกกับความหลังในชีวิตสมัยเด็กๆ


 


สมัยเด็กๆ ที่บ้านผู้เขียนทำหนังสือดาราขายด้วย มีสองหัวสองเล่ม "ดาราทอง" กับ "ดาราอัลบั้ม" ผู้เขียนเด็กมากแต่พอจำได้ว่าขายได้ไม่เลวนัก ตอนนั้น "มิตร ชัยบัญชา" เพิ่งเสียชีวิต ก็มีฉบับไว้อาลัยอะไรทำนองนั้น เสียดายต่อมาหัวเรือใหญ่ที่เป็นบรรณาธิการเสียชีวิต ก็เลยต้องเลิก แต่กิจการอื่นๆ ก็ยังมีตามปกติ ถ้าไม่เลิก ป่านนี้ผู้เขียนอาจไปเอาดีด้านบันเทิงก็ได้ แต่กระนั้นก็จำได้ว่ามีดาราให้เห็นหน้าบ่อยๆ เพราะย้ายบ้านไปอยู่แถวเฉลิมกรุง ดงคนทำหนังไทย แต่เพราะย้ายไปนี่แหละก็ทำให้เห็นตั้งแต่เด็กน้อยๆ ว่าวงการนี้มันไม่เหมือนกับที่เห็นบนแผ่นฟิล์ม


 


เพลงที่ได้ฟังในคืนนั้นที่เป็นไฮไลท์คือเพลง ที่รักเรารักกันไม่ได้  ตามที่ได้เอามาจั่วหัวเพราะว่าเป็นเพลงที่คุณเรียมได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทาน แต่ผู้เขียนจำปีไม่ได้ ตอนนั้นผู้เขียนก็เด็กๆ จำได้ว่ามีคนเปิดกันบ่อย จนจำได้ แต่พอโตขึ้นก็ลืม แถมยังไม่ยอมฟังเพลงไทยเอาเสียเลย ชอบเพลงฝรั่ง จนกระทั่งแก่ตัวลงเมื่อสิบปีที่ป่านมา เลิกฟังเพลงทั้งไทยทั้งฝรั่งไปเอาดื้อๆ ตอนนี้หัดฟังเพลงเพื่องานบันเทิงเกี่ยวเนื่องกับงานประจำเท่านั้น  ยอมรับว่าขาด "ต้นทุนทางการบันเทิง" ไปแยะ ยิ่งเปรียบกับเด็กรุ่นใหม่นี่แล้ว ผิดกันแยะ  แต่ไม่แปลกใจเพราะว่าโลกเปลี่ยนไป (ว่าแล้วนึกถึงหนังไทยอย่าง "แฟนฉัน" ที่พยายามขายภาพแบบย้อนยุค แต่ดูแล้วก็ไม่ประทับใจมากนัก เพราะหนังนั้น"หลงยุค" อยู่หลายตอน เก็บรายละเอียดไม่ดีไม่ต่อเนื่อง ได้แต่คิดว่าเอาเถอะ ดีกว่าเค้าไม่ทำให้ดู อีกอย่างไปตำหนิมากๆ คงไม่ดี สังคมไทยตำหนิกันไม่ได้ เสียความรู้สึกกันง่าย)


 


เพราะเพลงนี้ที่ดัง จำได้ว่ามีคนหลายคนใช้ประโยคเด็ด "าตินี้เราคง รักกันไม่ได้" มาใช้กล่าวถึงคู่แค้นคู่อาฆาต ที่ไม่มีวันจะให้อภัยแก่กันเลย เรียกว่า "แค้นนี้ต้องชำระ"ก็ว่าได้ แต่เบากว่าเพราะเน้นว่าแค่ไม่ดีต่อกันเท่านั้น อย่างไรก็ตามหลังจากหนังจีนมาฮิตในไทย สำนวน "แค้นนี้ต้องชำระ" เลยมาบดบังสำนวน"าตินี้เราคง รักกันไม่ได้" อย่างไม่เห็นฝุ่น เกิดความก้าวร้าวชัดเจนกว่าที่เคยเป็น ความเข้มข้นมากขึ้น


 


สังคมไทยสมัยก่อนความรุนแรงไม่ชัดเจนเหมือนปัจจุบัน ไม่ได้บอกว่าไม่มี หรือปริมาณมากกว่าหรือน้อยกว่า  สมัยก่อนๆ อาจเก็บกดมากกว่า เดี๋ยวนี้เห็นบ่อยเห็นชัด เรื่องตบตีกันมีชัดเจนและเป็นเรื่องไม่ผิดปกติ หรือการใช้วาจาแบบเถื่อนๆ ก็เลยไม่ค่อยเถื่อน อันนี้ต้องทำใจว่ายุคมันเปลี่ยนจริงๆ อย่างไรก็ตามในมุมกลับกันคนที่พยายามสร้างสันติก็มีไม่น้อย โลกสมัยใหม่โอกาสการเกิดสงครามโลกแบบแต่ก่อนอาจน้อยลงเพราะมีกลไกหลายอย่างคอยควบคุม  แต่เป็นการขัดแย้งในลักษณะอื่นแทน เช่นสงครามท้องถิ่น     


 


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สังคมไทยมีความเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ความหมายในเรื่องต่างๆ ของสังคมก็เปลี่ยนไป หลายคนหลงทาง หลายคนก็พยามยามฉกฉวยประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง หลายคนที่มีเพลิงแค้นในใจก็ได้โอกาสเข้ามาปั่นป่วน หลายคนที่มีอำนาจอยู่เดิมก็พยายามรักษาไว้เต็มกำลัง น่าแปลกใจที่ฐานอำนาจเดิมมีความสุขุมมากกว่าเดิม ไม่โฉ่งฉ่าง ไม่รุนแรง มีความเยือกเย็น  แต่ก็ขาดพลังไปมาก


 


ดังนั้น ในโอกาสที่พลังเก่าเริ่มหมดสภาพ และรอยต่อของอำนาจที่ไม่ราบเรียบ บางคนที่แค้นพลังเก่าดังกล่าวก็พยายามหาวิธีที่จะ "ล้างแค้น" อำนาจเก่าที่เคยรังแกตน (ซึ่งก็มีเกิดขึ้นจริงๆ ที่อำนาจเก่าได้ทำไปจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม) หรือตนเองคิดไปเองว่าโดนรังแกจากอำนาจนั้น  และยังมองว่าโลกนี้เป็นการดำรงอยู่ของคนที่เหมาะสมกว่า มองไปแล้วคือตนเองก็กำลังย้อนรอยความเลวร้ายที่อำนาจเก่าเคยทำ


 


แต่อนิจจาคนที่อยากแก้แค้นนี้ลืมมองตนเองไปเสียสนิท เพราะความแค้นไม่รู้จบนี่แหละที่แผดเผาตนเองและคนรอบข้าง อีกทั้งหลายคนที่หลงไปกับคนกลุ่มนี้และมองภาพรวมไม่ได้ได้เข้ามาร่วมด้วย จึงยิ่งเหมือนว่าโลกใบนี้ต้องเป็นอย่างที่ตนเองเท่านั้นที่ต้องการ เป็นเรื่องความตื้นที่เกิดขึ้นต่อคนที่น่าจะฉลาดที่สุด  เพราะลืมมองไปว่าอำนาจนี่แหละที่เปลี่ยนนิสัยคนทั้งนั้น


 


ผู้เขียนเคยโดนรังแกไม่ว่าจากเมืองไทยหรือเมืองนอก และได้เรียนรู้จากการโดนรังแกนั้น ยอมรับว่าการที่โดนรังแกทำให้เราได้มองตนเองชัดเจนขึ้น ต้องกลับมาเลียแผลหลายต่อหลายหน เรียนรู้วิธีที่จะอยู่รอดได้ในสังคมนี้โดยที่ไม่ต้องทำร้ายคนอื่น แต่ไม่ใช่จะยอมให้สิ่งไม่ดีเกิดขึ้น ยอมรับว่าการเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่มีผลดีแต่อย่างใด ถ้าใครคิดว่าวันนี้ต้องแก้แค้น หากไม่ได้ต้องวันหน้า ชีวิตย่อมไม่สุข และไม่มีวันที่จะสุข  แม้ว่าตนเองจะสะใจด้วยอะไรต่ออะไรในชีวิตก็ตาม  


 


ผู้เขียนชอบการนำสำนวน "าตินี้เราคง รักกันไม่ได้" มาใช้มากกว่า "แค้นนี้ต้องชำระ" เพราะอย่างน้อย ความรุนแรงไม่เกิดขึ้น ความพยาบาทไม่มี ทุกวันนี้ผู้เขียนเห็นผู้รู้หลายท่านไม่รู้จะคั่งแค้นกันไปถึงไหน ตอนนี้พอถึงเวลาก็กระหน่ำกันเป็นมหกรรม หลายคนใช้ความฉลาดของตนเองชักชวนให้คนร่วมเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นวงจรล้างแค้นคงจบได้ยาก


 


ผู้เขียนเรียนมาด้านการสื่อสารนั้น ยอมรับว่าในสาขาวิชานี้ก็หมดปัญญาในการคิดค้นวิธีที่ให้คนเลิกล้างแค้น เพราะว่านี่คือเรื่องยากที่สุดในสาขาวิชานี้ ปัญหานั้นคือ "ปัญญา" ที่ไม่เกิดอันมาจากอคติ[1] ในใจของแต่ละคน ดังนั้น เราคงต้องได้ดูหนังอีกหลายม้วนจบทีเดียว ที่เห็นชัดๆ ก็คือปัญหาในตะวันออกกลาง หรือแม้แต่ในภาคใต้ที่เราได้เห็นกันมา


 


เพลง ที่รักเรารักกันไม่ได้ คงเป็นเพลงที่ผู้เขียนจะนั่งฟังเมื่อมีเวลา แล้วพิจารณาว่าชีวิตที่เกิดมาจนวันนี้ มีกี่คนที่เรารักและเราไม่รัก แล้วจะคิดเลยเถิดต่อไปว่าทำอย่างไรจึงจะเรียนรู้ที่จะไม่คิดจองล้างจองผลาญ คิดล้างแค้น คิดโค่นล้มคนที่เราเกลียด แต่หากหาหนทางที่จะเข้าใจตนเองและอีกฝ่ายให้มากขึ้น แล้วก็ "แผ่เมตตา" ให้เป็น ตรงนั้นกระมังที่เรียกว่า "ปราชญ์" แท้จริง เพราะมาจาก "ปัญญา"ที่แท้จริง 






[1] "อคติ มีความหมายว่า "ความลำเอียง" มี 4 อย่าง คือ (1) ฉันทาคติ เป็นความลำเอียงที่มาจากความรักใคร่ชอบพอ  (2) โทสาคติ เป็นความลำเอียงที่มาจากความเกลียดชัง ความโกรธ  (3) โมหาคติ เป็นความลำเลียงที่มาจากความหลง เขลา เบาปัญญา และ (4) ภยาคติ เป็นความลำเอียงที่มาจากความเกรงกลัวขลาด  ดังนั้น อคติ อาจมาจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งหรือมากกว่า" http://www.prachatai.com/05web/th/columnist/viewcontent.php?SystemModuleKey=Column&System_Session_Language=Thai&ColumnistID=29&ContentID=1276&ID=29