Skip to main content

ทุ่งฝิ่น เผาไร่ และอื่น ๆ จากหมู่บ้านลัวะ

"พรุ่งนี้จะพาไปเที่ยวสวนอีเดน ไปดูดอกไม้" นูว หนุ่มน้อยชาวลัวะ บอกผมด้วยท่าทางของคนขี้เล่น "รับรองว่าพี่ยังไม่เคยเห็นมาก่อนแน่ ๆ "


 


"ดอกอะไร" ผมถาม


"ดอกฝิ่น" นูวตอบหน้าตาเฉย "แต่ต้องเดินไกลหน่อยหนึ่งนะ ข้ามเขาไปสามลูก"


"พอเดินได้"  ผมบอก "แล้วเจ้าของเขาไม่ว่าเอาเหรอ"


"เจ้าของ เป็นคนในเมือง พรุ่งนี้เขาไม่อยู่ 4-5 วันเขาจะมาดูสักที" นูวตอบ


"นูว ไปรู้จักคำว่าสวนอีเดนมาจากไหน" ผมรู้สึกแปลกใจกับคำว่า "สวนอีเดน"


"บาทหลวงเล่าให้ฟัง"


"งั้นตอนนี้นูวก็เป็นคริสต์ใช่ไหม"


"ใช่  เป็นคริสต์"


 


ผมรู้จักกับนูวเมื่อครั้งที่มาออกค่ายของทางชมรมค่ายอาสาในมหาวิทยาลัยเมื่อหลายปีมาแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ผมได้หวนกลับไปอีกครั้ง นูวเปลี่ยนไป หน้าตา การแต่งตัว บุคลิก แทบดูไม่ออกเลยว่านูวเป็นชาวเขา  นูวเคยไปทำงานเป็นลูกมือช่างซ่อมรถในเวียงเชียงใหม่จึงพูดคำเมืองได้ดีกว่าพูดภาษาไทยกรุงเทพ


 


"ทำไมไม่ทำงานในเชียงใหม่ต่อล่ะ" ผมถาม


"คนเมืองไว้ใจบ่ได้ คิดว่าเฮาโง่" นูวตอบ ผมประหลาดใจและอึ้งเล็กน้อยกับคำตอบของนูวแต่ก็รู้สึกขันจนอดหัวเราะไม่ได้


"หัวเราะอะไร" นูวถาม


"ไม่มีอะไร" ผมบอก


 


เย็นวันที่ผมไปถึง ครูที่โรงเรียนบอกให้เด็กมาตามผมให้ไปพบที่โรงเรียน พอผมและเพื่อนเดินไปถึง ครูก็ตระเตรียมเหล้าไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นเหล้าที่ชาวลัวะทำกันเอง เมาแล้วก็หาย  ไม่มีอาการปวดหัวเหมือนเหล้าแดงราคาถูก 


 


ตอนมาครั้งก่อน ผมกับครูนั่งกินเหล้ากันบ่อย ๆ พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน อายุอานามของครูก็คงพอๆ กันกับผม  ครูบอกว่าโรงเรียนที่เจริญๆ โดนครูคนอื่นเขาเลือกไปหมดแล้วก็เหลือแต่โรงเรียนอย่างนี้ แรกทีเดียวที่มาถึงครูตั้งใจจะย้ายออกไปให้เร็วที่สุดที่มีโอกาส  แต่พออยู่ไปๆ ก็พอปรับตัวได้และรู้สึกผูกพัน


 


ครูสอนเด็กๆ ชาวลัวะหลายปีจนสามารถพูดภาษาของลัวะได้  เรานั่งคุยกันออกรสชาติ อากาศเย็นชื่น บางคนกำลังกลับจากท้องนา  บางคนกำลังเดินกลับจากป่า พร้อมสะพายไม้ฟืนและของป่าที่เก็บได้ใส่ตะกร้าข้างหลัง  หมูดอยตัวเล็กๆ ดำๆ วิ่งไปวิ่งมา เด็กๆ เนื้อตัวมอมแมมกำลังไล่เตะฟุตบอล มันเป็นยามเย็นที่ใช้ได้ทีเดียว


 


จากเนินชันที่เรานั่งอยู่สามารถมองเห็นทัศนียภาพในยามอาทิตย์จะลับขอบฟ้า กระท่อมหลายหลังทอดตัวสงบนิ่งอยู่เรียงรายตามไหล่เนิน ในความเรียบง่ายบางครั้งก็เกิดมีความเศร้าสร้อยแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน นั่งไปได้สักครู่ ผมรู้สึกตัวว่าเริ่มพูดมากเพราะความเมา จึงขอตัวกลับไปนอน


 


..........


 


ผมกับนูวออกเดินเท้าเพื่อชมทุ่งฝิ่นกันตั้งแต่เช้า แรกเริ่มพวกเราไปกันสามคนแต่เพื่อนผมร่างอ้วนท้วนที่ไปด้วยกันล้มลุกคลุกคลานขึ้นสันเขาไปได้หน่อยหนึ่งก็บอกว่าไม่ไหว จะขอตัวกลับหมู่บ้านก่อน ไม่ไปแล้วไม่ว่าจะทุ่งฝิ่นหรือทุ่งฝัน  


 


นูวพกข้าวห่อติดตัวไปด้วย เราเดินผ่านป่า ผ่านเนินเขาที่เกือบจะเป็นเขาหัวโล้น ผ่านทุ่งหญ้ารกเรื้อ ผ่านลำธารใสเย็นสายเล็กซึ่งยังคงไหลสม่ำเสมอแม้ในหน้าแล้ง


 


"เวลาหน้าแล้ง คนในหมู่บ้านจะเอาน้ำที่ไหนใช้" ผมถาม


"ไปเอาที่แม่น้ำแม่ตูม เอารถไปขน บางทีพวกผู้หญิงก็จะเดินกันไปซักผ้าที่นั่น"


"ไกลเหมือนกันนี่" ผมพูด


"เขาเดินกันจนชินแล้วล่ะ  น้ำที่แม่น้ำแม่ตูมนี่เย็นมากเลยนะ ขนาดตอนเที่ยง ๆ เวลาไประเบิดปลา ยังต้องก่อไฟผิงเลย เย็นจริง ๆ " นูวบอก


 


หลังจากพักเหนื่อย เราก็ออกเดินเท้ากันต่อ นูวบอกให้ผมเติมน้ำในขวดเมื่อเจอแหล่งน้ำ "ลองกินน้ำในห้วยนี้ดูสิ มันหวานและเย็นดี"


"ลองฟังสิ" นูวบอก "เสียงนกร้อง มันร้องเรียกฝน แสดงว่าอีกไม่นานฝนก็จะตก แล้วเราก็คงจะได้เริ่มทำไร่"  


 


เราเดินไปคุยไปเรื่อยๆ นูวเก็บมะขามป้อมที่หล่นพื้นมาให้ผม บอกว่า "ใช้กินเวลาหิวน้ำ"


"อีกไกลไหมกว่าจะถึง" ผมเริ่มรู้สึกเหนื่อย แข้งขาชักสั่น รองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ที่ผมซื้อมาเพื่อมาเดินป่าโดยเฉพาะเสียดสีกับเท้าจนผิวหนังบริเวณนั้นถลอกและแสบ


"ข้ามเขาลูกนั้นไปก็จะถึง" นูวชี้ไปที่ยอดเขาข้างหน้า  นูวชี้ให้ผมดูตามไปช่องระหว่างใบไม้


"นั่นไง"


"อะไรล่ะ" 


"นั่นล่ะไร่ฝิ่น มีอยู่สี่แปลง แต่ไม่ได้ปลูกติดกัน"


"ช่างเลือกทำเลได้เหมาะจริง ๆ" ผมบอก ถ้าไม่สังเกตให้ดีจะมองไม่เห็นเลย เพราะแปลงปลูกฝิ่นเหล่านั้นหลบซ่อนไว้อย่างมิดชิด อยู่ในมุมอับ ทั้งยังมีไม้ใหญ่คอยบังเอาไว้


 


เมื่อเดินไปถึง ผมหลากใจต่อความงดงามของดอกฝิ่นเป็นอย่างมาก มีทั้งดอกสีขาว สีแดง แดงแก่ สีม่วง สีขาวแต้มม่วง ขาวจุดแดง บางดอกกำลังตูม บ้างกำลังบาน ละลานตาละลานใจ สวยกว่าที่ผมเคยเห็นในภาพถ่ายเสียอีก ด้วยความงามของดอกฝิ่น บางประเทศก่อนหน้านี้อนุญาตให้ปลูกตามบ้านตามสวนได้


 


ผมเดินเข้าไปใกล้ ผลฝิ่นกำลังอยู่ในช่วงแก่จัดพอเหมาะที่จะกรีด ชาวเขาที่นี่จะนิยมกรีดผลฝิ่นลงมาตามยาว ขณะที่ชาวเขาในแถบสามเหลี่ยมทองคำ เท่าที่ผมทราบมักจะกรีดตามแนวนอน


 


มีร่องรอยการกรีดไปบ้างแล้ว เขาจะใช้มีดสำหรับกรีดฝิ่นโดยเฉพาะซึ่งจะมีทางคมประมาณสี่ทาง และมีมีดสำหรับปาดยางฝิ่นเฉพาะเช่นกัน เวลากรีดต้องไม่กรีดให้ลึกเกินไป ยางสีขาวซึ่งเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อทิ้งไว้แห้งติดอยู่กับผลฝิ่น


 


"ลองชิมดูสิ" นูวบอกผม


"ทำไมเขายังไม่มาเก็บยางมันล่ะ" ผมถาม


"เดี๋ยวก็คงจะมา"


"เขาไม่กลัวตำรวจเหรอ"


"ก็กลัวเหมือนกัน"  นูวตอบ "ถ้าตอนที่เราปลูกฝิ่น แล้วฝันเห็นผู้หญิง แสดงว่าฝิ่นจะเจริญงอกงามดี"


"มันเกี่ยวอะไรกันล่ะ" ผมถาม


"ก็วิญญานของฝิ่นเป็นผู้หญิง" นูวตอบ


 


หลังจากที่ดูแล้วดูอีก นูวก็ชวนกลับ บอกว่าเดี๋ยวคนอาจจะมาเห็นได้ แต่ผมเพิ่งมารู้ในภายหลังว่าที่จริงแล้วนูวก็รับจ้างเขามากรีดฝิ่น ดูแลฝิ่นด้วย และมีญาติพี่น้องนูวอีกหลายคนที่เกี่ยวข้องกับการทำฝิ่น


 


เราพักกินข้าวกันระหว่างทางตอนขากลับ อาหารเที่ยงก็มีปลาตัวเล็ก ๆ จากแม่น้ำแม่ตูม และมีน้ำพริก มีผักอะไรก็ไม่รู้ผมเรียกไม่ถูก แต่มันก็ใช้บรรเทาความหิวได้


 


เป็นเวลาบ่ายคล้อยที่เรากลับถึงหมู่บ้าน  ทิ้งไร่ฝิ่นไว้เบื้องหลัง.